หลังทรัมป์รับตำแหน่งตลาดการเงินเป็นอย่างไรบ้าง ?

ทรัมป์

หลังทรัมป์รับตำแหน่งตลาดการเงินเป็นอย่างไรบ้าง บล.เอเซียพลัส ชี้ความกังวลที่ดูผ่อนคลายมากขึ้น หนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง มองถ้าสหรัฐอเมริกาไม่ดุดัน ตลาดหุ้นไทยจะค่อย ๆ ดีขึ้น

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด รายงานว่า วานนี้ (20 ม.ค. 2568) ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในสมัยที่ 2 อย่างเป็นทางการแล้ว ขณะที่นโยบายที่เร่งดำเนินการในวันแรก จะเน้นที่ความมั่นคงชายแดนและการเนรเทศอาชญากรต่างชาติกลับประเทศ ซึ่งผลกระทบอาจยังไม่ได้ขยายเป็นวงกว้าง ทำให้ระดับความกังวลดูเบาลง

ส่วนนโยบายการค้า ทรัมป์ไม่ได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีนในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง แต่จะสั่งให้มีการศึกษาการปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าของจีนแทน สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงท่าทีของทรัมป์ในการเจรจากับจีน และความต้องการที่จะทำข้อตกลงใหม่กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง

ความกังวลที่ดูผ่อนคลายมากขึ้น หนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง โดยเช้านี้ดัชนีตลาดหุ้น FUTURES ของสหรัฐปรับตัวขึ้นราว 0.5-1.5% ส่วน HANG SENG ดีดตัวขึ้นแรงมากกว่า 2% ขณะที่บอนด์ยีลด์สหรัฐ 10 ปีย่อตัวลงมาอยู่ที่ 4.55% (จากจุดสูงสุดในรอบเดือนที่ 4.8%)

อย่างไรก็ตามในระยะถัดไป ภาคการส่งออกไทยมีโอกาสอ่อนไหวจากแนวนโยบายของทรัมป์ ที่จะเก็บภาษีอากรจากต่างประเทศ 10% เป็นเพราะไทยได้ดุลการค้าอันดับ 12 ของสหรัฐ รวมถึงสหรัฐขาดดุลการค้ากับไทยมากขึ้นชัดเจนเมื่อเทียบกับปี 2018 ซึ่งกลุ่มสินค้าส่งออกของไทยที่พึ่งพาตลาดสหรัฐในสัดส่วนที่สูง อาทิ อุปกรณ์ไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิส์, เครื่องจักรกล, ผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น

หลังจากที่ทรัมป์สาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 ตลาดการเงินจะมีทิศทางเป็นเช่นไร เริ่มจาก DOLLAR INDEX ที่อ่อนค่าเล็กน้อย หลังนโยบาย TAX TARIFFS ยังไม่ได้ถูกพูดถึงเท่าที่ควร โดยหากเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2016-2017 หลังจากที่ทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่ 1 ราว 60 วัน ค่าเงิน DOLLAR ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะชะลอตัวลง 15% ในช่วง 1 ปีถัดมา ซึ่งเป็นภาพที่คล้ายกับปัจจุบัน คาดว่าตลาดจะขานรับข่าว TRUMP 2.0 ไปในระดับหนึ่งแล้ว อีกทั้งจึงน่าจะเห็น DOLLAR มีแนวโน้มอ่อนค่าลงในระยะถัดไป

ADVERTISMENT

ส่วนผลตอบแทบดัชนี MSCI EMERGING MARKET ยุค TRUMP 1.0 เทียบกับปัจจุบัน มีแนวโน้มได้รับแรงกดดันหลังจากหลังจากที่ TRUMP ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐราว 60 วัน -2.4% ถึง -5% ก่อนที่จะเร่งตัวสูงขึ้นในระยะถัดไป ดังกลไก DOLLAR INDEX ทยอยอ่อนค่า ดังนั้นตลาดหุ้นในโซนเอเชียมีโอกาสกลับมา OUTPERFORM ได้ในช่วงสั้น รวมถึงไทยที่มี VALUATION ที่น่าสนใจ น่าจะเห็นฟันด์โฟลว์มีโอกาสไหลเข้าเพิ่มเติมได้

“สรุปหลังทรัมป์รับตำแหน่งตลาดการเงินเริ่มผ่อนคลายลง เริ่มจาก DOLLAR INDEX อ่อนค่า และหนุนตลาดหุ้นฝั่งเอเชียสดใสรวมถึงไทย ดังสถิติในอดีตยุค TRUMP 1.0 ดังนั้นวันนี้คาด SET INDEX มีโอกาสแกว่งขึ้นได้เล็กน้อย โดยวงกรอบการเคลื่อนไหว 1,335-1,348/1,350 จุด”

ADVERTISMENT

ตลอดช่วงทรัมป์ชนะเลือกตั้ง 5 พ.ย. 2567 ถึงสาบานตน 20 ม.ค. 2568 พบว่า ตลาดหุ้นไทยดูดซับประเด็นลบการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค TRUMP 2.0 มาในระดับหนึ่งแล้ว สะท้อนได้จาก SET INDEX -8.37% ขณะเดียวกันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมาเร็ว 5.4% กดดันให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนหุ้นไทย เพราะมีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม โดยขายสุทธิไปทั้งสิ้น 2.9 หมื่นล้านบาท

จนปัจจุบัน SET INDEX อยู่ที่ 1,340 จุด มี VALUATION ที่ถูกมากเทียบเท่ากับช่วงวิกฤตต่าง ๆ สะท้อนได้จากข้อมูล PBV ปัจจุบันอยู่ที่ 1.34 เท่า ต่ำกว่าระดับ -1SD ตลอดช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ที่ 1.42 เท่า และจะสังเกตได้ว่า ช่วงที่ PBV น้อยกว่า -1SD หรือ 1.42 เท่า เป็นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นไทยเกิดวิกฤตทั้งหมดคือ วิกฤตดอทคอม, วิกฤตซับไพรม และวิกฤตโควิด เป็นต้น

สรุปตลาดหุ้นไทยซึมซับประเด็นลบต่าง ๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค TRUMP 2.0 มามากแล้ว จนมี VALUATION เทียบเท่าช่วงวิกฤต กลยุทธ์การลงทุนภายใต้การเมืองสหรัฐไม่มีการเร่งรีบดำเนินนโยบายตามที่หาเสียงไว้ ฟันด์โฟลว์น่าจะสลับมาเข้าตลาดหุ้นเอเชียรวมถึงไทยบ้าง แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่ลงมาลึก อย่างรับประเด็นกำแพงภาษีผ่อนคลายช่วงสั้น AOT, CENTEL, ERW, ITC, TU, SCC, PTTGC รับค่าเงินบาทสลับมาแข็งช่วงสั้น BGRIM, GPSC และหุ้นรับกระแสบอนด์ยีลด์สหรัฐย่อตัวช่วงสั้น MTC, SAWAD