
สัมภาษณ์
บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE หุ้นธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มครบวงจร ที่เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา ภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจการเกษตร โดยเทรดวันแรกราคาเปิดอยู่ที่ 2.60 บาท เหนือจอง 14.03%
ปัจจุบันหุ้น PCE ยังสามารถทำผลตอบแทนได้ดีอย่างต่อเนื่อง แม้ตลาดหุ้นไทยซบเซา ราคาปัจจุบันปรับขึ้นเหนือ 3 บาท จากราคา IPO ที่ 2.28 บาท ขณะที่รายได้ งวด 9 เดือนแรกปี 2567 เติบโต 2.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,000 ล้านบาท หรือ 16.3% และมีกำไรสุทธิ 400.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.7% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน
แผนปี’68 เป้ารายได้ 3 หมื่นล้าน
“พรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล” รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ PCE ให้สัมภาษณ์ล่าสุด ว่า ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ที่ 30,000 ล้านบาท เติบโต 15-20% จากปีก่อน โดยบริษัทวางแผนใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายกำลังการผลิต ควบคู่กับการเพิ่มมูลค่าสินค้าในธุรกิจการสกัดและการกลั่นน้ำมันปาล์ม ตลอดจนการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนขยายเป็น Bio Complex เช่น ลดของเสียและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการบริหารจัดการน้ำเสีย รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
“คาดว่าจะใช้งบฯลงทุนราว 1,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนเทคโนโลยีเพื่อขยายกำลังการผลิต ควบคู่กับการเพิ่มมูลค่าสินค้าในธุรกิจการสกัดและการกลั่นน้ำมันปาล์ม ตลอดจนการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ขยายเป็น Bio Complex”
โดยบริษัทวางแผนขยายกำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) จาก 90 ตัน/ชม. เป็น 135 ตัน/ชม. ขยายกำลังการผลิตด้วยการกลั่นน้ำมันปาล์มโอเลอีน (RBDOL) จาก 300 ตัน/วัน เป็น 700 ตัน/วัน ตลอดจนเน้นผลิตและจำหน่ายน้ำมันเมล็ดในปาล์ม (CPKO) และมีแผนลงทุนด้านโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม เพื่อให้การสกัดน้ำมันปาล์มมีประสิทธิภาพสูงสุด
รวมถึงการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าและบริการทางออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองอัตราการอุปโภคบริโภคน้ำมันปาล์มที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อน 3% (ข้อมูลจากกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์)
“แผนขยายกำลังการผลิตเหล่านี้ คาดว่าจะเข้ามาเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้การเติบโตของรายได้ในปี 2568 นี้ ทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้”
นอกจากนี้ บริษัทได้ให้ความสำคัญด้านการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดน้ำมันปาล์มและอื่น ๆ ด้วยการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ปาล์มที่บริษัทมีอยู่ เช่น น้ำมันเมล็ดในปาล์ม และน้ำมันเมล็ดในปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBDPKO) โดยสัดส่วนการเพิ่มยอดการจัดจำหน่ายเป็น 40,000 ตัน จากเดิม 15,000 ตันอีกด้วย อีกทั้งยังวางแผนการส่งออกกะลาปาล์มให้มากกว่า 100,000 ตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นได้
ส่งออกไป “จีน-อินเดีย” ยังโตได้
“พรพิพัฒน์” กล่าวอีกว่า ปี 2568 ยังมีแนวโน้มว่าการส่งออกน้ำมันปาล์มไปประเทศจีน รวมถึงอินเดีย ยังคงมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดี การที่บริษัทลงทุนขยายกำลังการผลิต เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเดินหน้าขยายตลาดใหม่ ๆ ของบริษัทได้ ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการผลิต ยิ่งช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับบริษัทได้มากขึ้นอีกด้วย สะท้อนแต่แนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีในอนาคต
“มองไปในอนาคตอีก 5-10 ปี ผลผลิตของปาล์มเติบโตขึ้นทุกปี 5% ดังนั้น หากบริษัทเตรียมการไว้ การส่งออกน้ำมันปาล์มในอนาคตจะได้มากขึ้น”
รุกขยายลงทุน “โอเลโอเคมิคัล”
“พรพิพัฒน์” กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโอกาสในการลงทุนในการเพิ่มมูลค่าสินค้ากลุ่ม High Margin ในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมิคัล โดยมองรูปแบบการสกัดน้ำมันเมล็ดในปาล์ม เพื่อแยกกรดไขมันตั้งแต่ C8-C12 ออกมาเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตเครื่องสำอาง สารทดแทนคาเคาในการผลิตช็อกโกแลต รวมถึงเป็นส่วนสำคัญที่ใช้เป็นสารผสมในการผลิตเครื่องสำอาง
“ปัจจุบันมีศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนกับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่นไว้แล้ว 1 ราย คาดว่าไม่เกินปลายปี 2568 จะเห็นความชัดเจน และอาจใช้เวลาในการก่อสร้างโรงงานใหม่ราว 2 ปี ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในการลงทุนเฟสแรกส่วนการสกัด CPKO จะใช้เงินประมาณ 1,500 ล้านบาท แหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดในมือ และการกู้ยืมสถาบันการเงิน”
ทั้งนี้ การสกัดน้ำมันปาล์มดิบ เพื่อแยกกรดไขมันตั้งแต่ C14-18 ออกมาเป็นวัตถุดิบรองรับสำหรับการผลิตยางสังเคราะห์และหนังสังเคราะห์ รวมถึงนำมาพัฒนาเป็นสารใช้เป็นส่วนผสมในการทำยา ซึ่งในส่วนนี้มีการเจรจากับพันธมิตรจากจีนไว้แล้ว แต่คาดว่าอาจต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาอีกราว 2-3 ปี จึงจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน อย่างไรก็ดี การลงทุนในส่วนนี้ประเมินว่าจะใช้เงินลงทุนเพิ่มอีกราว 2,500-3,500 ล้านบาท
มอง “ทรัมป์” หนุนราคาปาล์ม
“พรพิพัฒน์” กล่าวด้วยว่า สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันปาล์มในปี 2568 มองว่ายังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโดนัลด์ ทรัมป์นั้น มองว่าด้วยนโยบาย America First และจากสถิติในอดีต ทรัมป์ 1.0 ที่จุดประกายสงครามการค้า ส่งผลให้ราคาปาล์มปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสให้กับ PCE
“คาดว่า จากนโยบาย America First และจากสถิติในอดีต ทรัมป์ 1.0 ที่เกิดสงครามการค้า จะส่งผลให้ราคาปาล์มปรับตัวเพิ่มขึ้น”
แย้มแผนธุรกิจ 3 ปีข้างหน้า
“รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ PCE” กล่าวว่า บริษัทมีแผนขยายธุรกิจภายใน 3 ปีข้างหน้า โดยพัฒนาน้ำมันปาล์ม ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง (High Margin Products) มากยิ่งขึ้น ที่สามารถนำไปทำช็อกโกแลตสามารถทดแทนเมล็ดช็อกโกแลตที่มีราคาแพงและปลูกยากในปัจจุบัน ดังนั้นจะเป็นโปรดักต์ใหม่เพื่อการส่งออกไปในอนาคต อีกทั้งในส่วนของน้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันเมล็ดในปาล์ม จะออกมาเพื่อใช้ต่อยอดในอุตสาหกรรมให้กับฝั่งจีนและทั่วโลก
“ตลาดในประเทศไทยค่อนข้างมีขีดจำกัด โดยหากมองไปในอนาคตอีก 5-10 ปี ผลผลิตของปาล์มเติบโตขึ้นทุกปี 5% ดังนั้น หากบริษัทเตรียมไว้การส่งออกน้ำมันปาล์มในอนาคตจะได้มากขึ้น”
ยึดหลัก ESG ดำเนินธุรกิจ
รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ PCE กล่าวว่า PCE ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม ให้ความสำคัญด้าน ESG ซึ่งมีโครงการส่งเสริมการนำน้ำมันพืชใช้แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ด้วยการนำน้ำมันเก่า 2 ขวดมาแลกเป็นน้ำมันใหม่ 1 ขวด
รวมถึงโครงการรวมพลังสร้างปาล์มน้ำมันไทย ก้าวไกลสู่มาตรฐาน RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนที่ปัจจุบันได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมากที่สุด โดยเป็นการร่วมลงนาม MOU กับหน่วยงานภาครัฐ
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทยังคงยึดนโยบายขยายขอบเขตธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และสร้างผลตอบแทนระยะยาวผ่านการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ และพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการควบคุมความเสี่ยงในธุรกิจสกัดและกลั่นน้ำมันปาล์ม ธุรกิจขนส่ง และธุรกิจเทรดดิ้งเป็นพิเศษ
ด้วยการพิจารณาถึงปัจจัยความเสี่ยงที่ซับซ้อนจากราคาพลังงาน กฎระเบียบ สิ่งแวดล้อม และการเคลื่อนไหวน้ำมันปาล์มในตลาดโลก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน
“PCE คํานึงใน ESG โดยพยายามชดเชยคาร์บอนด้วยไบโอดีเซล ที่จริงเเล้วปาล์มน้ำมันเป็น Zero Waste แต่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกแค่แรกของการผลิต ถ้าเราเติมน้ำมันไบโอดีเซล (B100) 100% คาร์บอนจากรถจะหายไป 75% ตอนนี้รัฐบาลปรับลดสูตรผสมน้ำมันไบโอดีเซล ให้เป็น B5 ก็เท่ากับว่าคาร์บอนที่ปล่อยออกมาประมาณ 2%
เรามองแล้วว่าซัพพลายเชนทั้งหมดสามารถเคลมคาร์บอนได้ ส่วนการใช้ B100 ในอุตสาหกรรมทางทะเล (Marine Oil) ซึ่งยุโรปได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยการเติม B100 ในเรือ สามารถลดการปล่อยคาร์บอน การคำนวณและจัดการเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรสามารถบริหารคาร์บอนฟุตพรินต์ให้สมดุล พร้อมตั้งเป้าหมายชดเชยคาร์บอนในทุกสายงาน”