รูดปรื๊ดขานรับแบงก์ชาติ คืนดอกเบี้ยลูกค้าบรรเทาภาระหนี้

ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ในส่วนของการผ่อนชำระขั้นต่ำ (Minimum Payment) สำหรับบัตรเครดิต

โดยกำหนดให้ยังคงอยู่ที่ 8% ออกไปอีก 1 ปี จนถึงสิ้นปี 2568 จากเดิมที่จะกลับสู่เกณฑ์ปกติที่ 10% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 เพื่อช่วยลดภาระการจ่ายชำระหนี้และรักษาสภาพคล่องให้ครัวเรือน

โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ซึ่งสำหรับลูกหนี้ที่ผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำมากกว่าหรือเท่ากับ 8% จะได้รับเครดิตเงินคืนเทียบเท่าดอกเบี้ย 0.5% ของยอดค้างชำระ สำหรับครึ่งปีแรก และ 0.25% สำหรับครึ่งปีหลัง ของปี 2568 โดยได้รับคืนทุก 3 เดือน เพื่อจูงใจให้ลูกหนี้ปิดจบหนี้เร็วขึ้น และมีภาระดอกเบี้ยทั้งสัญญาลดลง

นายอธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และในฐานะประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต สมาคมธนาคารไทย (TBA) กล่าวว่า ประเมินว่ามาตรการเครดิตเงินคืนดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยรับทั้งระบบราว 1,000 ล้านบาท

โดยในส่วนของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท ปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าที่ชำระขั้นต่ำหรือมากกว่า 8% อยู่ที่ 30% ของฐานลูกค้าทั้งหมด ซึ่งกลุ่มนี้จะได้รับเครดิตเงินคืนตามมาตรการ ส่วนที่เหลือ 70% จะเป็นกลุ่มชำระเต็ม

อย่างไรก็ดี ยอมรับว่ามาตรการดังกล่าวเป็นอีกปัจจัยที่กระทบต่อรายได้การดำเนินงาน และภายใต้เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อธุรกิจบัตรเครดิตมีความท้ายทายมากยิ่งขึ้น ทั้งการปล่อยสินเชื่อใหม่ ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร (Spending) ที่อ่อนแอตามกำลังซื้อ รวมถึงแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่ขยับตัวเพิ่มขึ้น

ADVERTISMENT

“ธุรกิจบัตรเครดิต รายได้ส่วนใหญ่จะมาจากดอกเบี้ย ส่วน Fee Based Income จะค่อนข้างน้อย เพราะจะเกิดจากธุรกรรมการรูดบัตร และเบิกเงินสดล่วงหน้า หรือ Cash Advance ซึ่งกลุ่มนี้ก็ค่อนข้างน้อย”

นางสาวประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี กล่าวว่า เคทีซีได้เตรียมความพร้อมระบบเพื่อรองรับมาตรการเครดิตเงินคืน หรือการคืนดอกเบี้ยให้ลูกค้าไว้แล้ว

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ ปัจจุบันเคทีซีมีฐานลูกค้าบัตรเครดิตราว 2.2 ล้านคน ในจำนวนดังกล่าวมีลูกค้าประมาณ 30% ที่มีการชำระขั้นต่ำ และอีก 70% ชำระเต็ม ซึ่งในจำนวนลูกค้า 30% จะได้รับการลดดอกเบี้ยลง หรือเครดิตเงินคืน โดยในครึ่งปีแรกของปี 2568 จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 15.50% จาก 16% ต่อปี และในครึ่งหลังของปี 2568 จะได้รับปรับลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 15.75% ต่อปี

“มาตรการนี้จะเหมือนการทำโปรโมชั่น Cash Back แต่เป็นดอกเบี้ยเงินคืนในรอบบัญชีถัดไป”

นายจเร เจียรธนะกานนท์ ประธานกลุ่มบริหารผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อย ธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี) กล่าวว่า แนวทางการคำนวณดอกเบี้ยเงินคืน ระบบหลังบ้านยังคงเดินบัญชีปกติ และจะคำนวณดอกเบี้ยคืนในรอบบัญชีถัดไป โดยธนาคารจะมีการรีวิวลูกค้าที่เข้าเกณฑ์คืนดอกเบี้ยทุกเดือน และจะมีการคำนวณดอกเบี้ยให้ลูกค้าทุกเดือน เช่น ลูกค้าจ่ายเข้าเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนดในเดือน ม.ค. ธนาคารจะคำนวณดอกเบี้ยคืนในเดือน ก.พ.

“เช่น ลูกค้ามียอดชำระ 100 บาท อัตราดอกเบี้ย 16% ต่อปี จะได้รับลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 15.50% ต่อปี ซึ่งในรอบบิลถัดไปลูกค้าจะชำระเงินเพียง 95 บาท ได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 5 บาท เป็นต้น”

สำหรับในแง่ผลกระทบต่อธุรกิจบัตรเครดิต ยอมรับว่าจะกระทบในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยบ้างส่วนที่หายไป โดยในส่วนของทีทีบีมีสัดส่วนลูกค้าเข้าเกณฑ์ราว 30%

ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะกระทบกำไรที่หายไปราวหลักสิบล้านบาท อย่างไรก็ดี ทางอ้อมจะช่วยส่งเสริมให้ลูกค้ารักษาวินัยทางการเงิน และชำระค่างวดมากขึ้น เนื่องจากมีเรื่องของการคืนดอกเบี้ยให้ลูกค้า

“ผลกระทบจากมาตรการคืนดอกเบี้ย Min Pay กระทบค่อนข้างน้อย แต่ยอมรับว่ากระทบกำไรโดยตรง แต่ทางอ้อมลูกค้ามีวินัยขึ้น ซึ่งปัจจุบันทุกธนาคารน่าจะเตรียมระบบรองรับมาตรการอยู่แล้ว ซึ่งทีทีบีจะดูลูกค้าที่เข้าเกณฑ์ทุกเดือน เช่น เดือนนี้จ่ายเข้าเกณฑ์ก็ทำเรื่องคืนดอกเบี้ย แต่ไปอีก 2 เดือนทำไม่ได้ตามเกณฑ์เราก็จะไม่ให้”

นายนันทวัฒน์ โชติวิจิตร กรรมการบริหาร ฝ่ายการตลาด บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) กล่าวว่า เบื้องต้นจากการตรวจสอบตัวเลข พบว่าผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยไม่สูงมากนัก โดยบริษัทได้มีการปรับระบบหลังบ้านพร้อมรองรับมาตรการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว

และพร้อมดำเนินการทันที ซึ่งส่วนหนึ่งมาตรการจะมีผลดีต่อต้นทุน จะช่วยลดต้นทุนในการติดตามทวงถามหนี้ (Collection) ของบริษัทไปในตัว ชดเชยต้นทุนในกลุ่มที่มียอดค้างชำระได้

“ดูเบื้องต้น กระทบรายได้ดอกเบี้ยเราไม่เยอะ ส่วนหนึ่งของการจ่ายดอกเบี้ยคืนที่เป็น Reward ให้ลูกค้า ก็ช่วยลดต้นทุนติดตามเราด้วย”

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ในปี 2568 ประเมินว่าสินเชื่อบัตรเครดิตจะขยายตัวได้ราว 2% หรือมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 2.37 แสนล้านบาท เทียบกับฐานที่ติดลบลึกในปีก่อน ถือว่าไม่ได้เติบโตสูงมากนัก

โดยในปี 2567 มียอดสินเชื่ออยู่ที่ 2.33 แสนล้านบาท จากปี 2566 อยู่ที่ 2.33 แสนล้านบาท ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เห็นการขยับขึ้น ทั้งแบงก์และน็อนแบงก์ โดยหนี้เสีย ณ ไตรมาสที่ 3/2567 อยู่ที่ 4.61% จากปี 2566 อยู่ที่ 3.57% และสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Stage 2 หรือ SM) ณ ไตรมาสที่ 3/67 อยู่ที่ 5.16% จากปี 2566 อยู่ที่ 4.22%

“เครดิตเงินคืนเป็นมาตรการจูงใจให้ลูกหนี้ไม่ให้เป็นหนี้สูงมาก และสามารถปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น หากจ่ายไหวจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยลดลง ซึ่งเป็นมาตรการชั่วคราว และเป็นมาตรการต่อเนื่องจากหนี้เรื้อรัง”