
คอลัมน์ : เช้านี้ที่ซอยอารีย์ ผู้เขียน : ดร.พงศ์นคร โภชากรณ์ ([email protected])
ผมเขียนบทความนี้ในเช้าวันที่ 20 มกราคม 2568 ก่อนทรัมป์จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในค่ำคืนวันนี้ตามเวลาประเทศไทย จึงยังไม่เห็นว่านโยบายที่จะออกมาจริง “ตรงปก” กับตอนหาเสียงไว้หรือไม่
นโยบายเด่น ๆ ของทรัมป์ หรือ Trump 2.0 มีหลายเรื่อง แต่ละเรื่องเป็นประเด็นสะเทือนโลกได้ทั้งสิ้น เช่น การตั้งกำแพงภาษี หรือ Trade War 2.0 การสนับสนุนอุตสาหกรรมหนักและพลังงาน การลดอัตราภาษีให้ภาคธุรกิจและผู้ที่มีรายได้สูง การสกัดกั้นผู้อพยพที่เข้ามาทำงาน คลองปานามา และเกาะกรีนแลนด์ เป็นต้น
ต้องขอชมว่านโยบายแต่ละเรื่อง “สุดติ่งกระดิ่งแมว” มาก นอกจากสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐอย่างมากแล้ว อาจส่งผลต่อความอยู่รอดของประเทศอื่น ๆ ได้เลยทีเดียว
ผมคิดว่านโยบายของทรัมป์ในระลอกแรกเป็นการเรียกบริษัทที่ไปตั้งนอกประเทศและเม็ดเงินลงทุนที่กระจายอยู่ทั่วโลกกลับยานแม่ เน้นการเติบโตให้เข้มแข็งจากภายใน บวกกับการลดอัตราภาษีเงินได้ลง เพื่อช่วยสร้างแรงจูงใจในการกลับประเทศ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตได้มากขึ้นในระยะสั้น
แต่ในระยะยาว เมื่อบริษัทและเงินลงทุนกลับยานแม่ จะเจอปัญหาทรัพยากรไม่พอต่อขนาดของกำลังการผลิต เช่น แรงงาน ปัจจัยการผลิต เป็นต้น
รวมถึงขนาดของตลาดไม่ใหญ่มากพอที่จะบริโภคสินค้าและบริการที่จะผลิตออกมาได้ อาจต้องลดกำลังการผลิตลง ในขณะที่การอยู่ต่างประเทศจะไม่เจอปัญหานี้ ในขณะเดียวกัน ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกมาก ๆ เช่น ไทย จะได้รับผลกระทบจากปริมาณการค้าที่ลดลง ดังนั้น ในระยะสั้นเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเติบโตดี แต่ในระยะยาวอาจจะมีปัญหาที่ตัวเองก่อไว้ ส่วนประเทศที่พึ่งพาการส่งออกต้องระวังปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว
เมื่อสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีกับจีนร้อยละ 60 และประเทศอื่น ๆ ร้อยละ 10-20 แล้วแต่กรณี นำไปสู่ Trade War 2.0 สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐจะสูงขึ้น เพราะราคาสินค้าที่หลุดเข้าไปขายในสหรัฐจะมีราคาสูงขึ้น และถ้าประเทศคู่ค้าตอบโต้ด้วยการตั้งกำแพงภาษีด้วย เงินเฟ้อในประเทศผู้ตอบโต้ก็จะสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้โลกอาจจะเผชิญกับเงินเฟ้อสูงขึ้น แต่ละประเทศต้องกลับมาขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายกันอีกรอบหรือไม่ ดังนั้น จาก Trade War 2.0 จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก และเงินเฟ้อสูงทั่วโลก
ต่อมาเมื่อประเทศต่าง ๆ มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจชะลอลง รัฐบาลของแต่ละประเทศก็ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการทำนโยบายการคลังแบบขาดดุลอีก เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นช่วงวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563
ทำให้รายจ่ายของรัฐบาลเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ที่รัฐบาลหาได้ หนี้สาธารณะของประเทศต่าง ๆ อาจจะขยับสูงขึ้นไปอีก อย่างลืมว่า IMF เพิ่งคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ผลรวมของหนี้สาธารณะของทุกประเทศในโลกจะเท่ากับผลรวมของ GDP ของทุกประเทศในโลก แปลว่าในอีก 5 ปีหนี้จะท่วมของที่ผลิตได้บนโลกนี้
เมื่อมองเกมยาว ๆ หลายประเทศรวมถึงไทย อาจจะได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย เพราะอาเซียนยังเป็นตลาดที่สำคัญของโลก แต่เราก็ต้องรับมือกับสินค้าราคาถูกจากจีน ห่วงโซ่การผลิตจากจีนจะทะลักเข้ามาไทย ทั้งแรงงาน เครื่องจักร โลจิสติกส์ แพลตฟอร์มขายสินค้า ดังนั้น ต้องรอดูว่าทรัมป์จะมีนโยบายตามที่หาเสียงหรือไม่ และรัฐบาลและภาคเอกชนไทยจะรับมือผลพวงของ “ทรัมป์ป่วนโลก” อย่างไร
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน มิได้ผูกพันเป็นความเห็นขององค์กรที่สังกัด