สำรองลด ดันกำไรแบงก์ปี’67 พุ่ง โบรกฯคาดปี’68 แตะ 2.3 แสนล้าน

8 แบงก์โชว์กำไรปี’67 สวยงาม 1.6 แสนล้าน เพิ่มขึ้น 3.99% เคแบงก์ท็อปฟอร์มนำโด่ง 48,598 ล้าน ชี้เหตุกันสำรองลด หลังคุมเข้มสินเชื่ออย่างหนัก โบรกฯชี้ปี’68 ก็ยังฟูขึ้นอีก คาดแตะ 2.3 แสนล้าน ทั้งที่คาดจีดีพีโตต่ำกว่าปี’67 ผลพวงเทรดวอร์ทำส่งออก-ท่องเที่ยวชะลอ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารพาณิชย์ได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2567 และประจำปี 2567 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยมีการรายงาน ณ วันที่ 21 มกราคม 2568 จำนวน 8 แห่ง ได้แก่ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ (SCBX) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb) ธนาคารทิสโก้ (TISCO) ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) และธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHFG)

8 แบงก์ปี’67 กำไร 1.6 แสนล้าน

สำหรับภาพรวมธนาคาร 8 แห่ง มีกำไรสุทธิรวมกันในไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 38,234 ล้านบาท ลดลง -4.42% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) และมีกำไรสุทธิประจำปี 2567 รวมทั้งสิ้น 160,057 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.99% เทียบ YOY ที่อยู่ 153,922 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากดูธนาคารในกลุ่มที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIBs) ขนาดใหญ่ 6 แห่ง แต่ที่มีการประกาศแล้ว 4 แห่ง ได้แก่ เอสซีบี เอกซ์ ,กสิกรไทย, กรุงศรีอยุธยา และทีทีบี พบว่า ธนาคารที่มีกำไรสูงสุดในไตรมาส 4/2567 ได้แก่ เอสซีบี เอกซ์ อยู่ที่ 11,707 ล้านบาท รองลงมา กสิกรไทย 10,494 ล้านบาท และกรุงศรีอยุธยา 6,276 ล้านบาท

และหากดูกำไรสุทธิงวดประจำปี 2567 พบว่า ธนาคารกสิกรไทย มีกำไรสูงสุดที่ 48,598 ล้านบาท รองลงมา เอสซีบี เอกซ์ 43,943 ล้านบาท กรุงศรีอยุธยา 29,700 ล้านบาท และทีทีบี อยู่ที่ 21,031 ล้านบาท สำหรับกำไรสุทธิประจำปี 2567 เทียบกับปี 2566 (YOY)

ธนาคารที่มีการเปลี่ยนแปลงกำไรสูงสุด ได้แก่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เพิ่มขึ้น 77.69% จาก 1,605 ล้านบาท เพิ่มเป็น 2,852 ล้านบาท และธนาคารกสิกรไทย เพิ่มขึ้น 14.60% จาก 42,405 ล้านบาท เพิ่มเป็น 48,598 ล้านบาท

ADVERTISMENT

แบงก์สำรองลดหลังคุมเข้มสินเชื่อ

สำหรับการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ หรือผลขาดทุนทางด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ณ ไตรมาส 4/2567 รวมอยู่ที่ 39,515 ล้านบาท ลดลง -2.79% เมื่อเทียบไตรมาส 3/2567 (QOQ) ที่อยู่ 40,651 ล้านบาท และหากเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) ปรับลดลง -18.70% และเมื่อดูตัวเลขตั้งสำรองหนี้ในปี 2567 รวมทั้งสิ้น 164,843 ล้านบาท เทียบปี 2566 (YOY) ที่อยู่ 164,970 ล้านบาท ลดลง -0.08% โดยธนาคารส่วนใหญ่ให้เหตุผลจากการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อในช่วงที่ผ่านมา

โดยธนาคารที่มีการตั้งสำรอง สูงสุดในไตรมาส 4/2567 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2567 (QOQ) ได้แก่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร เพิ่มขึ้น 34.21% จาก 681 ล้านบาท เพิ่มเป็น 914 ล้านบาท และรองลงมา ธนาคารกสิกรไทย เพิ่มขึ้น 5.06% จาก 11,652 ล้านบาท เพิ่มเป็น 12,242 ล้านบาท

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ดี ธนาคารที่มีการตั้งสำรองลดลงสูงสุด ได้แก่ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ลดลง -32.38% จาก 265 ล้านบาท เหลือ 179 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารที่มีการตั้งสำรองสูงสุดในงวดประจำปี 2567 เมื่อเทียบปี 2566 จะเป็น ธนาคารทิสโก้ เพิ่มขึ้น 283% จาก 359 ล้านบาท เพิ่มเป็น 1,375 ล้านบาท รองลงมา ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพิ่มขึ้น 28.54% จาก 35,617 ล้านบาท เพิ่มเป็น 45,782 ล้านบาท และธนาคารที่มีการตั้งสำรองลดลงมากที่สุด คือ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ลดลง -38.53% จาก 2,163 ล้านบาท เหลือ 1,329 ล้านบาท

เอ็นพีแอลปี’67 อยู่ที่ 3.37 แสน ล.

สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ณ ไตรมาส 4/2567 มียอดรวมอยู่ที่ 337,664 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.11% เมื่อเทียบ QOQ ที่อยู่ 327,474 ล้านบาท โดยธนาคารที่มียอดหนี้เสียเพิ่มขึ้นสูงสุด ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 13.32% จาก 5,968 ล้านบาท เพิ่มเป็น 6,764 ล้านบาท ธนาคารเอสซีบี เอกซ์ อยู่ที่ 97,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.13% และหากดูตัวเลขเอ็นพีแอลงวดประจำปี 2567 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 337,664 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.59% โ

ดยธนาคารที่มีเอ็นพีแอลเพิ่มสูงสุด ได้แก่ เกียรตินาคินภัทร เพิ่มขึ้น 22.75% จาก 12,630 ล้านบาท เพิ่มเป็น 15,503 ล้านบาท ตามด้วยธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพิ่มขึ้น 19.82% จาก 61,481 ล้านบาท เพิ่มเป็น 73,666 ล้านบาท โดยธนาคารที่มีหนี้เสียลดลงมากที่สุด คือ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ลดลง 19.08% จาก 8,246 ล้านบาท เหลือ 6,673 ล้านบาท

คาดปี’68 กำไรยังฟู 2.3 แสนล้าน

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในปี 2568 ประเมินทิศทางกำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่บริษัททำการวิเคราะห์จำนวน 8 แห่ง ประกอบด้วย BBL, KBANK, KTB, SCBX, TISCO, TTB, TCAP และ KKP จะมีกำไรสุทธิรวม 2.31 แสนล้านบาท เติบโต 4% ซึ่งเติบโตชะลอลงจากปี 2567 ที่ธุรกิจแบงก์มีกำไรเติบโตราว 8% โดยความท้าทายของธุรกิจแบงก์ปีนี้คือ ความกังวลต่อเศรษฐกิจไทย โดยล่าสุด SCB และ KBANK มีการปรับลดเป้าอัตราการเติบโตของ GDP ไทยในปีนี้ลงต่ำกว่าปีที่แล้ว

เพราะ 1.ความกังวลสงครามการค้า (Trade War) ที่จะกระทบภาคการส่งออก 2.ความกังวลภาคการท่องเที่ยวที่อาจชะลอตัวมากกว่าที่คาด จากผลพวงประเด็นปัญหาของประเทศจีน จึงทำให้ธุรกิจแบงก์จะมีข้อจำกัดเรื่องการเติบโตของสินเชื่อ รวมไปถึงส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) ที่น่าจะปรับตัวลง ซึ่งจะลดลงมากแค่ไหนขึ้นอยู่กับการปรับลดดอกเบี้ยของ ธปท.ในปีนี้ ทั้งนี้ปัจจัยหนุนกำไรแบงก์ในปีนี้คือ การตั้งสำรองหนี้ลดลง และรายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโตจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ส่วนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ยังไม่มีความชัดเจนว่าผลกระทบจะเป็นอย่างไร แต่อาจทำให้คุณภาพหนี้ของแบงก์ดูดีขึ้น

“ปีนี้ธุรกิจแบงก์จะโฟกัสที่การบริหารคุณภาพหนี้เป็นหลักเหมือนเดิม และโฟกัสการเติบโตจากรายได้ค่าธรรมเนียม ซึ่งหากควบคุมคุณภาพหนี้ได้แล้ว ปีนี้จึงน่าจะเห็นแบงก์ผ่อนสำรองหนี้ลง ซึ่งจะเป็นคีย์สำคัญของเติบโตของกำไรแบงก์ในปีนี้ และหวังว่าตลาดทุนไทยฟื้นตัวได้หากปัจจัยต่างประเทศเรื่อง Trade War ไม่รุนแรง และในประเทศไม่มีประเด็นเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมือง” นายธนเดชกล่าว

เคแบงก์เผชิญสารพัดเรื่องท้าทาย

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 ยังมีสัญญาณฟื้นตัวไม่ทั่วถึง (K-shaped Recovery) แม้ในภาพรวมขยายตัวไว้ได้ในระดับที่สูงกว่าปี 2566 โดยภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้าบางหมวดที่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรสินค้าเทคโนโลยีขยายตัวได้ดี แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนยังมีสัญญาณอ่อนแอท่ามกลางแรงกดดันต่อเนื่องจากปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ข้อจำกัดของกำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศ และปัญหาภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

สำหรับในปี 2568 แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากหลายด้าน โดยเฉพาะผลกระทบจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ ความเสี่ยงจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ปัญหาในภาคการผลิตและภาระหนี้เอกชนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้เวลาแก้ไข

SCBX โฟกัสตั้ง Virtual Bank

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCBX กล่าวว่า ปี 2567 เป็นปีแห่งความท้าทายในหลายมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี กลุ่ม SCBX มุ่งเติบโตธุรกิจด้วยความระมัดระวัง บริหารคุณภาพสินเชื่ออย่างรอบคอบ เน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของสถานะการเงิน และในปี 2568 จะเน้นสร้างการเติบโตต่อเนื่องจากธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะธุรกิจในกลุ่มสินเชื่อผู้บริโภค โดยมุ่งไปที่การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการติดตามจัดเก็บหนี้ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และบริษัทจะเดินหน้าให้ความเชื่อเหลือกลุ่มลูกค้าเปราะบางภายใต้มาตรการของภาครัฐอย่างเต็มกำลัง

“SCBX ให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยจะเตรียมความพร้อมร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อจัดตั้ง Virtual Bank และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ตลอดจนสร้างโอกาสการเติบโตธุรกิจด้าน Climate Tech นอกจากนี้บริษัทเดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็น AI-First Organization โดยการใช้ AI ในทุกมิติของการดำเนินงาน”

แบงก์กรุงเทพ โชว์กำไร 4.5 หมื่นล้าน

ด้าน ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิปี 2567 จำนวน 45,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% จากปีก่อน โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2.3% จากการขยายตัวของเงินให้สินเชื่อและอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ สุทธิกับต้นทุนเงินรับฝากที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 3.06%

สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน และกำไรจากเงินลงทุน ซึ่งเป็นไปตามสภาวะตลาด ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากธุรกิจบัตรเครดิต และบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่ยังคงเติบโตดี สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายทางการตลาด

โดยธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานลดลงเป็น 48.0% ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารมีการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส 4 ปี 2567 ธนาคารจึงตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงจากไตรมาสก่อน ส่งผลให้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับปี 2567 มีจำนวน 34,838 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน

ธนาคารกรุงเทพยังคงแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,693,301 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% จากสิ้นปีก่อน จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และสินเชื่อลูกค้ากิจการต่างประเทศ

สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.7% ซึ่งอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 334.3% เป็นผลจากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง

ธนาคารมีเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 จำนวน 3,169,654 ล้านบาท ลดลง 0.5% จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 85.0% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 20.4% ,17.0% และ 16.2% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

กรุงไทยโกยกำไร ปี’67 ที่ 4.38 หมื่นล้าน

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยประกาศผลการดำเนินงานปี 2567 มีกำไรสุทธิ 43,856 ล้านบาท เติบโต 19.8% เน้นการเติบโตตามยุทธศาสตร์อย่างยั่งยืน บริหารพอร์ตอย่างสมดุล สินเชื่อโต 4.7% จัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังและยืดหยุ่น หนี้เสียคุมอยู่ที่ 2.99% รักษาระดับเงินสำรองในระดับสูง รองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ พร้อมเดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน

ในปี 2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 43,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.3%  ถ้าไม่รวมรายการตั้งสำรองสำหรับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่ง และกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันที่มีแนวโน้มของคุณภาพสินเชื่อที่เสื่อมค่าลง ที่เกิดขึ้นไตรมาส 4ปี 2566 (กำไรสุทธิเติบโต 19.8% เมื่อเทียบกับปี2566)

ธนาคารมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพ ดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมบริหารจัดการ Portfolio อย่างสมดุล ให้ความสำคัญกับการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ และรักษา Coverage ratio ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ธนาคารมีสินเชื่อที่เติบโต 4.7% ส่วนใหญ่จากการขยายตัวในกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่เป็นกลุ่มยุทธศาสตร์ของธนาคาร สินเชื่อภาครัฐ และการสนับสนุนนโยบายรัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และการจัดการหนี้ ตามแนวทาง Responsible Lending