บาทแข็งค่าตามราคาทองคำ ขณะตลาดรอดูท่าทีทรัมป์

เงินบาทแข็งค่าตามราคาทองคำ ขณะตลาดรอดูท่าทีทรัมป์

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันอังคารที่ 22 มราคม 2568 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ (22/01) ที่ระดับ 33.90/91 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (21/01) ที่ระดับ 34.11/12 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีสหรัฐนายโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้การซื้อขายในตลาดปริวรรตเงินตราเป็นไปอย่างผันผวน

หลังเสร็จสิ้นพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง ประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อวันจันทร์ (20/01) ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรแบบครอบจักรวาล หรือ Universal Tariffs ซึ่งเป็นมาตรการท่จะส่งผลกระทบต่อสินค้าทุกรายการที่มีการนำเข้าสู่สหรัฐ แต่เขาส่งสัญญาณว่าอาจจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.

โดยที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 28-29 ม.ค. ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 99.5% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% แม้ว่าเฟดมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันดังกล่าว แต่คาดว่าแถลงการณ์ของเฟดในการประชุมครั้งนี้จะสามารถบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปี 2568 นอกจากนี้นักลงทุนยังจับตารอดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือน ธ.ค. จาก Conference Board ที่จะเปิดเผยในคืนนี้ (22/01)

ด้านปัจจัยภายในประเทศ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2568 มีแนวโน้มจะขยายตัวได้เป็นอย่างดี ส่วนนึ่งเป็นผลมาจากแรงส่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของรัฐบาลที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปี 2567

อาทิ มาตรการโอนเงินตามโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท (โครงการไร่ละพัน) และยังมีมาตรการ Easy-E-Receipt รวมถึงมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุตั้งแต่ 60ปีขึ้นไป ซึ่งน่าจะช่วยสนับสนุนให้ตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2568 ที่ออกมาดีพอสมควร อีกทั้งยังได้กล่าวถึงการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐอาจจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนว่า

ADVERTISMENT

ในขณะนี้นโยบายยังไม่ส่งผลกระทบต่อไทย เพราะไทยไม่ได้อยู่ในลิสต์ รวมถึงจะส่งทีมไปเจรจาหารือในนามรัฐบาล เพื่อหาโอกาสที่จะสามารถส่งออกสินค้าให้กับสหรัฐมากขึ้น พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลกำลังจับตาสินค้าจากจีนที่อาจทะลักเข้าไทย ซึ่งผลกระทบจากการที่สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน โดยพยายามไม่ให้กระทบกับภาค SME โดยภาครัฐจะพยายามตรวจคุณภาพสินค้านำเข้า โดยเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดโดยในวันนี้การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอยู่ในกรอบระหว่าง 33.79-33.95 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 33.84/85 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวเปิดตลาดเช้านี้ (22/01) ที่ระดับ 1.0415/1/ สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (21/01) ที่ระดับ 1.0353/54 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ถึงแม้ว่าเมื่อวาน (21/01) มีการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจจากสถาบัน ZEW ที่ออกมา 10.3 ปรับตัวลดลงมาจาก เดือน ธ.ค. ที่ 15.7 น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 15.2

ADVERTISMENT

โดยนักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ซึ่งจะเปิดเผยในช่วงปลายสัปดาห์ 23-24 ธ.ค. เพื่อดูทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลหลัก โดยค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0392-1.0434 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0429/30 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวเปิดตลาดเช้านี้ (22/01) ที่ระดับ 155.53/57 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (21/01) ที่ระดับ 155.83/84 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยในวันนี้ (22/01) สมาพันธ์สหภาพการค้าของญี่ปุ่น หรือเรนโก (Rengo) เรียกร้องให้ขึ้นค่าจ้างอย่างน้อย 5% อีกทั้งทางสหภาพได้เสนอให้ขึ้นค่าจ้างอย่างน้อย 6% สำหรับบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เพื่อลดช่องว่างของค่าจ้างระหว่างบริษัทขนาดใหญ่กับ SME

โดยที่ตลาดรอติดตาม การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะประชุมในวันที่ 23-24 ม.ค. เกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ซึ่งคาดการณ์ว่าจะปรับขึ้น 0.25% สู่ระดับ 0.5% อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ความไม่แน่นอนที่เกิดจากนโยบายของ ปธน.สหรัฐ รวมถึงผลกระทบที่อาจมีต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจญี่ปุ่น เป็นความเสี่ยงสำคัญต่อการคาดการณ์ ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนอยู่ในกรอบระหว่าง 155.33-156.11 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 155.68/69 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ของสหรัฐ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (23/1),ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือน ม.ค. จาก S&P Global (24/1), ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือน ม.ค. จาก S&P Global (24/1), ยอดขายบ้านมือสองเดือน ธ.ค.(24/1), ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือน ม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (24/1)

สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -6.40/-6.20 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -6.00/-5.00 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ