‘กอบศักดิ์’ แนะรับมือทรัมป์ ประกาศ 6 สงคราม

กอบศักดิ์ ภูตระกูล
กอบศักดิ์ ภูตระกูล

“กอบศักดิ์” เผยทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง 3 วัน เขย่าโลก หลังลงนามยกเลิกคำสั่ง 78 ฉบับของโจ ไบเดน หวังดึงสหรัฐกลับมาสู่ “Golden Age” หลังหลงทางมา 4 ปี เดินหน้านโยบาย 6 สงคราม จับตา 1 ก.พ. 2568 ขึ้นภาษีจีน 10% แนะรัฐบาลรับมือ ชี้ควรกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องฝ่าลมต้านความผันผวน-แย่งชิง FDI เข้าประเทศ มั่นใจไทยบริหารจัดการผลกระทบได้ คาดจีดีพีปี 2568 โตเกิน 3%

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวใน “เพจ Bnomics (Bangkok Bank Economics)” ในหัวข้อ “3 วันเขย่าโลกกับ TRUMP 2.0” ว่าภายหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในช่วง 3 วันที่ผ่านมา จะเห็นว่าเป็น 3 วันที่มีความคึกคัก และเป็น 3 วันที่ไม่ธรรมดา เพราะไม่มีรัฐบาลไหนที่มีการลงนามคำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Order) เยอะขนาดนี้ อย่างไรก็ดี ในคำสั่งที่ได้ลงนามจะมีเรื่องของสงครามสำคัญ 5-6 เรื่อง

ได้แก่ 1.สงครามแนวคิดระหว่างพรรค “ริพับลิกัน” และ “เดโมแครต” ซึ่งมีแนวคิดแตกต่างกัน โดยมีการยกเลิกคำสั่งของนายโจ ไบเดน ทั้งหมด 78 ฉบับ เป็นนโยบายที่ถูกมองว่าเป็นรัฐบาลหลงทางมา 4 ปี ให้กลับมาเป็น “รีพับลิกัน” อีกครั้ง

2.สงครามในประเทศและพรมแดน ซึ่งถูกมองว่าเป็นปัญหายิ่งใหญ่จากเดิมเป็น Open Border ในยุคโจ ไบเดน แต่ทรัมป์มีคำสั่งปิดพรมแดน รวมถึงมีคำสั่งยกเลิกหลาย ๆ หน่วยงาน และขับเคลื่อนด้วยรัฐบาลเอง

3.สงครามการค้ากับประเทศต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมามีการประกาศไปแล้ว คือ ประเทศแคนนาดา และเม็กซิโก ที่ถูกตั้งกำแพงภาษี 25% และประเทศจีน ซึ่งจะมีการประกาศขึ้นภาษี 10% ในช่วงวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้

4.สงครามเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการต่อสู้กับคู่แข่งสำคัญ คือจีน เนื่องจากทรัมป์มองว่าสหรัฐกำลังเพลี่ยงพล้ำจีนในเรื่องของเทคโนโลยี จึงเป็นที่มาของโครงการ “Stargate” โดยร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยี ได้แก่ Oracle, SoftBank และ Open AI มีเม็ดเงินลงทุนราว 5 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ซึ่งจะถูกมองว่าเป็นผู้นำเทคโนโลยีอย่างแท้จริง

ADVERTISMENT

5.สงคราม ซึ่งเป็นสงครามจริงในตะวันออกกลาง และรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งทรัมป์ประกาศว่า “No War” แม้ว่าจะประกาศยุติสงครามภายใน 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง ซึ่งล่าสุดได้มีการขู่นายวลาดีมีร์ ปูติน หากไม่ยุติสงครามภายใน 1 เดือนจะมีการคว่ำบาตรและลงโทษ (Sanction) เป็นต้น

และ 6.สงครามอื่น ๆ จะดูประเด็นที่มีการเอาเปรียบสหรัฐ เนื่องจากทรัมป์จะเน้นเรื่อง “USA First” เช่น การยกเลิกข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งเป็นความตกลงกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ถูกมองว่าสหรัฐเสียค่าใช้จ่ายเยอะ หรือข้อตกลงองค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นอีกโครงการที่ถูกยกเลิก รวมถึงการเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) โดยโครงการอะไรที่สหรัฐต้องจ่ายเงินเยอะ จะต้องยกเลิกให้หมด

ADVERTISMENT

“การประเมินคะแนนในช่วง 3 วัน โดยรวมคะแนน A++ เพราะไม่มีรัฐบาลไหนออกคำสั่งเยอะขนาดนี้ สะท้อนถึงความเก๋าของทีมงานที่จัดเตรียม “Executive Order” ให้ทรัมป์พิจารณาว่าเรื่องไหนเดินหน้าทันที เรื่องไหนรอก่อน หรือเรื่องไหนหยุดไว้ก่อน ซึ่งเป็น 3 วันที่ค่อนข้างคึกคัก และเป็น 3 วันที่เหมือนทำงานมาแล้ว 1 เดือน ซึ่งหลังจากนี้ครบ 7 วัน 1 เดือน หรือ 100 วัน หรือ 1 ปี 4 ปี จะมีความตื่นเต้นให้เราบ่อยมากขึ้น”

ทั้งนี้ ภายหลังจากมีการแยกคำสั่งเป็น 6 เรื่องใหญ่แล้ว หากจะดูการประสบความสำเร็จของนโยบายของการดำเนินงาน จะต้องแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่คือ 1.ทำตามที่พูดและที่ตั้งใจไว้ เช่น การปิดพรมแดนที่มีการส่งทหารไป 1,500 คนได้ดำเนินการแล้ว หรือการอภัยโทษคนที่บุกรัฐสภาวันที่ 6 มกราคม ในช่วง 4 ปีก่อน เป็นการดำเนินการทันที เป็นต้น ถือเป็นการเมืองที่ไม่หลอกลวงประชาชน

และ 2.ทำน้อยกว่าที่พูดไว้ เช่น การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเป็นเรื่องที่ทุกคนจับตา และสร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดค่อนข้างมาก เพราะการขึ้นภาษีนำเข้าเป็นเรื่องที่สร้างผลกระทบวงกว้างกว่าเรื่องอื่นที่เน้นภายในประเทศสหรัฐเอง จึงเป็นเรื่องน่ากังวลใจมากที่สุด

ซึ่งล่าสุดขึ้นภาษี 25% กับประเทศแคนนาดาและเม็กซิโก้แล้ว แต่จีนขึ้นเพียง 10% และเรียกเจรจา จากเดิมที่มีการประกาศจะขึ้น 60% ดังนั้น ทุกคนรอดูว่าจะทำกับจีนอาจจะเป็น “มวยต้มคนดู” เพราะทำน้อยกว่าคาด หรือประเด็นสงครามที่ประกาศยุติภายใน 24 ชั่วโมง แต่เวลาล่วงเลยมากว่า 72 ชั่วโมงแล้ว

ท้ายสุด 3.ทำเกินกว่าที่พูดไว้ เช่น โครงการ “Stargate” ที่มีการลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์ ถือเป็นโครงการที่ต้องจับตามอง เพราะเป็นโครงการสำคัญมากที่จะทำให้สหรัฐมีโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่อยู่ในสหรัฐ เพราะสหรัฐไม่เชื่อมั่นให้ Data ไปอยู่นอกประเทศ และมีการประกาศไว้ว่า ภายใน 5 ปี AI ของสหรัฐจะเก่งเท่าคน และจะเก่งกว่าคน ก็อยู่ในวิสัยที่จะทำได้ และปักหมุดให้สหรัฐไปดาวอังคารให้ได้

ทั้งนี้ แม้ว่าเงินลงทุนหน้าตักอาจจะยังไม่พอ แต่หากสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ จะเห็นเม็ดเงินไหลเข้ามาในประเทศสหรัฐได้ โดยโครงการ “Stargate” จะเป็นโครงการเรือธง (Flagship) สำคัญ

“มองไปข้างหน้าเงื่อนไขสำคัญของทรัมป์ที่จะอยู่ได้ 4 ปี จะต้องพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้ทันที และไม่สนใจคนจะด่า เพราะต้องการทำให้สหรัฐกลับมาเป็นยุคทอง (Golden Age) โดยต้องจับตาอีก 2 ปีข้างหน้าที่จะมีการเลือกตั้งมิดเทอมด้วย ซึ่งทรัมป์ต้องการรักษาสภาล่างด้วย

อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้ เราเพิ่งเป็นจุดเริ่มต้น เป็น Just Beginning หลังจากเดินหน้าไปแล้ว จะเห็นความถี่ของคำสั่ง Executive Order น้อยลง เพราะคำสั่งออกไปหมดแล้ว จะเหลือแต่คำสั่งยาก ๆ เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาดำเนินการ แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้”

ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า สำหรับผลกระทบต่อไทยนั้น มองว่ามีหลายส่วน โดยประเทศไทยมีการเชื่อมโยงผ่าน 4 ส่วน ได้แก่ การค้า การท่องเที่ยว เงินทุนเคลื่อนย้าย และค่าเงิน ซึ่งในเชิงการค้ามาถึงไทยแน่นอน แต่จะต้องดูว่าการต่อสู้กันแค่ไหน และกระจายตัวแค่ไหน แต่เชื่อว่าไทยสามารถบริหารจัดการได้

เนื่องจากครั้งนี้เป็นสงครามการค้าที่ “คนเดียวทะเลาะกับคนทั้งโลก” และ “ทุกคนทะเลาะกับคนเดียว” ซึ่งต้องรอดูว่าสหรัฐจะดำเนินการกับจีนมากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ดี ไทยอาจจะมีโอกาสที่จะได้ส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ของสินค้าจีนที่จะหายไป

ขณะที่เงินทุนเคลื่อนย้าย หรือการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มองว่าจะยังคงดีต่อเนื่อง เพราะหากยิ่งมีการทะเลาะกับจีนมากเท่าไร จะเห็นการไหลออกของเงินทุนจากจีน ซึ่งภูมิภาคอาเซียนและไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพและน่าสนใจ อย่างไรก็ดี รัฐบาลจะต้องปลดล็อกทุกอย่างในเรื่องของ FDI โดยไม่ต้องกลัวการที่ต่างชาติจะเข้ามาในประเทศ ไทยจำเป็นต้องแย่งชิง FDI เข้ามาในประเทศไทยให้ได้ หลังจากตอนนี้ไทยมีเม็ดเงินเป็นอันดับ 5 หรือ 6 ของประเทศกลุ่มอาเซียน

สำหรับสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งในส่วนของค่าเงิน ราคาทองคำ และราคาน้ำมัน จะเห็นว่าการผันผวนและเป็นสิ่งที่ห้ามยาก โดยไทยจะต้องอยู่กับความผันผวน เพราะต้องยอมรับว่าทรัมป์อาจจะเขียนอย่าง แต่พรุ่งนี้อาจจะเป็นอีกอย่าง

ดังนั้น สินทรัพย์ต่าง ๆ จะผันผวนไปตามลมปากและลายเซ็นของทรัมป์ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เชื่อว่าจะมีการเผชิญหน้าระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ และเจอโรม พาวเวลล์ ซึ่งเป็นแรงกดดันปกติของธนาคารกลาง โดยธนาคารกรุงเทพคาดว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ซึ่งจะปรับลดในเดือนมิถุนายนและธันวาคม 2568

ดังนั้น ท่ามกลางความขัดแย้ง มองไปข้างหน้าไทยเดินไปในป่าที่มีพงหนาม จึงต้องการให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง เพราะจะต้องทำให้เศรษฐกิจมีโมเมนตัมเพื่อให้เศรษฐกิจไปต่อได้ เพราะตอนนี้มีลมต้านรออยู่ หากทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้จะเป็นเรื่องดี เพราะในปีนี้มองว่าด้วยตัวของเนื้อเศรษฐกิจเอง หากไม่มีสงคราม คาดว่าจีดีพีจะโตได้ 3% บวก เพราะทุกประเทศเดินหน้าลดดอกเบี้ย จะมีความต้องการสินค้าและการบริโภคจะช่วยหนุนการส่งออกที่คาดว่าจะโตเฉลี่ย 8-9% และภายใต้เศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวดีจะหนุนการท่องเที่ยวให้ขยายตัวในระดับ 40 ล้านคนได้

“จะเป็น 4 ปีที่มีสีสัน และเป็น 4 ปีที่สร้างความปั่นป่วนผันผวน และภายใต้ความปั่นป่วนผันผวนจะมากระทบไทยอย่างแน่นอน แม้ว่าวันนี้จะไม่ถึงเรา แต่ต้องยอมรับว่าไทยเกินดุลสหรัฐ ก็ต้องดูว่าเขาจะเอื้อมมือมาถึงเรามากแค่ไหน แต่โดยรวมเป็นช่วงโหมโรงของช่วงถัดไป ดังนั้น จึงเป็น 4 ปีที่ไทยต้องเตรียมการในการวางตำแหน่งของตัวเอง”