ส่อง 4 ธีมเด่นกับประเทศน่าลงทุนปี’68 บูสต์พอร์ตให้เติบโต

บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

เปิดฉากขึ้นแล้ว โลกยุคทรัมป์ 2.0 หลังจากวันที่ 20 ม.ค. 2568 “โดนัลด์ ทรัมป์” เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯอย่างเป็นทางการ และดำรงตำแหน่งสมัยที่สองในทำเนียบขาว ถือเป็นการกลับสู่เวทีการเมืองที่น่าทึ่งที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกัน

ทั่วโลกต่างเฝ้าจดจ้องความเคลื่อนไหวของทรัมป์ คาดหวังว่าจะปูพรมแผนเศรษฐกิจฉบับมหึมาทันทีที่เข้าทำงานในทำเนียบขาว

เกมเปลี่ยนกฎกติกาการค้าโลกกำลังเริ่มขึ้นแล้วทั้ง Trade War และ Tech War รวมถึงสงครามตะวันออกกลางที่พร้อมรอเวลาระเบิด ในช่วงครึ่งปีแรกจะเห็นการประกาศนโยบายต่างๆ ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการใช้นโยบายภาษีอย่างเข้มข้นกับประเทศต่างๆ ที่ต้องรับภาระต้นทุนใหม่เพิ่มขึ้น แต่ทุกอย่างจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มเห็นผลกระทบชัดเจนต่อประเทศต่างๆ ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป ยาวไปจนถึง 4 ปีข้างหน้า

“โลกในมือทรัมป์” ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่เข้ามาปั่นป่วนโลกทุกมิติ และจัดเป็นความเสี่ยงระยะปานกลางด้วยนะครับ

แล้ว Thematic Investment ในปีนี้มีธีมเด่นหรือประเทศที่น่าสนใจลงทุนอยู่ตรงไหนบ้างสำหรับนักลงทุนที่ถือระยะยาวหรือชาว VI (Value Investor) ตลาดหุ้นจะน่ากลัวหรือไม่ คนที่มีพอร์ตลงทุนอยู่จะรอดมั้ย ผมมีคำตอบมาให้พร้อมแนะนำการลงทุนแบบ Core & Satellite เป็นเกราะคุ้มกันพอร์ตคุณครับ

สำหรับ “ธีมลงทุน” ที่น่าสนใจในปีนี้ มาให้คุณๆ ลองพิจารณากันอีก 4 ธีม ได้แก่ ธีมเทคโนโลยีการเงิน (FinTech) ธีมคลาวด์ (Clond and Computing) ธีมไซเบอร์ซิเคียวริตี้ (Cybersecurity) ธีมอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) แต่ละธีมเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากการใช้ชีวิตประจำวันที่คนเราต้องใช้บริการเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับธีมเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกรรมทางการเงิน การจัดเก็บและป้องกันข้อมูล หรือเทรนด์การชอปปิงออนไลน์ เรียกว่าถนนทุกสายมุ่งไปสู่ธีมเหล่านี้ก็ว่าได้

ADVERTISMENT

ธีมเทคโนโลยี ซึ่งแยกเป็นหลายสาย ตอนนี้โลก AI มาแรงยืนหนึ่ง เพราะบริษัทต่างๆ สามารถนำ AI ไปประกอบธุรกิจและทำให้ยอดขายโตได้ หรือนำ AI ไปอยู่ในกระบวนการทำงาน แล้วสามารถลดต้นทุนได้ ดังนั้น หุ้นที่ได้ประโยชน์จะเป็นพวกเซมิคอนดักเตอร์ นำโดย NVIDIA, Microsoft, Alphabet เป็นต้น ตอนนี้ธีมเซมิคอนดัคเตอร์อยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพงเมื่อดูจากรายได้เทียบ Market Cap

ส่วนธีมที่เห็นได้ชัดว่ารายได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เติบโตดีและราคาหุ้นหรือมูลค่าบริษัทยังไม่สูงมาก ก็คือ ธีมเทคโนโลยีท่องเที่ยว เทคโนโลยีการเงิน เทคโนโลยีจีน และอีคอมเมิร์ซ

ADVERTISMENT

มาดูที่ธีมรายประเทศกันบ้างหากเปรียบเทียบการเติบโตเฉลี่ยทบต้นของรายได้เทียบกับมูลค่าบริษัท (Market Cap) จะพบว่าตลาดหุ้นจีนและเวียดนามเป็นตลาดที่ยังน่าลงทุนอยู่ ส่วนประเทศอินเดียก็จะเห็นได้ว่าราคาหุ้นค่อนข้างแพงแม้การเติบโตของรายได้จะค่อนข้างดี

และหากพิจารณาจากข้อมูล Market Prediction ที่บอกว่าตลาดหุ้นจีนมีสัดส่วนหุ้นคุณภาพดีราคาถูกอยู่เยอะมาก ธีมที่เกี่ยวกับจีนจึงเป็นอีกธีมที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดี ได้แก่ ธีมเทคโนโลยีจีนและธีมพลังงานสะอาดจีน  ซึ่งการที่หุ้นจีนมีโอกาสเติบโตดีในปี 2568 และธีมเหล่านี้เองก็เป็นอุตสาหกรรมหลักที่ได้รับการผลักดันจากรัฐบาลก็ไม่แปลกเลยที่จะเห็นการเติบโตตามไปด้วย

โดยเฉพาะกลุ่มธีมด้านพลังงานสะอาด ที่เริ่มเห็นภาพชัดว่ารายได้สวนทางกับมูลค่าธุรกิจ เนื่องจากที่ผ่านมาเคยมีช่วงที่กลุ่มพลังงานสะอาดพุ่งขึ้นเยอะมาก และร่วงลงมาเยอะมาก ซึ่งปัจจุบันดูราคาหุ้นจะพบว่า ยังไม่ได้กลับขึ้นมาสักเท่าไหร่ ในขณะที่รายได้ยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ ดังนั้นในอนาคตราคาธีมพลังงานสะอาดก็จะต้องกลับขึ้นมา

ส่วนธีมด้านสุขภาพ ที่เป็น Health Tech & Biotechnology ซึ่งจีโนมิกส์เป็นธีมที่น่าสนใจที่สุดในกลุ่มนี้ เพราะใช้ AI เข้ามาช่วยวงการการแพทย์ได้ค่อนข้างมาก เช่น การวินิจฉัยโรค ทำยีนบำบัด หรือการรักษาโรคที่ซับซ้อน โดยบริษัทที่ใช้ AI ช่วยการค้นคว้าน่าจะได้ประโยชน์ เช่น Eli Lilly, Vertex, Teladoc เป็นต้น

ผมมั่นใจว่า ธีมต่างๆ เหล่านี้ สามารถเลือกลงทุนเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุนได้ครับ ถ้าคุณจัดพอร์ตลงทุนแบบ Core & Satellite

ช่วยให้พอร์ตไม่ผันผวนมากนัก ทำให้คุณยังสามารถลงทุนต่อไปได้ในระยะยาว เพราะพอร์ตของคุณจะมีสินทรัพย์ตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำไล่ไปจนถึงความเสี่ยงสูง ดังนั้นในช่วงที่สถานการณ์สินทรัพย์หนึ่งมีปัญหา คุณจะมีสินทรัพย์อื่นที่ช่วยสร้างผลตอบแทนให้ได้ครับ

หลักๆ คุณสร้าง Core Port (พอร์ตหลัก) ที่เป็นรากฐานของการลงทุน มุ่งเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่พึ่งพิงได้ และมีโอกาสเติบโตระยะยาว สร้างผลตอบแทนได้เรื่อยๆ และมีความเสี่ยงต่ำ สินทรัพย์หลักๆ จะเป็นพันธบัตร หุ้นกู้คุณภาพ หากเป็นหุ้นรายประเทศแนะนำ “หุ้นสหรัฐฯ” เนื่องจากเป็นประเทศมหาอำนาจโลกเบอร์หนึ่ง และอย่างน้อย 4 ปีข้างหน้า ประธานาธิบดีคนใหม่ พร้อมงัดนโยบายต่างๆ มาผลักดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตไปข้างหน้าแน่นอนครับ

ส่วน Satellite Port (พอร์ตรอง) ที่เป็นเหมือนส่วนต่อเติม เพื่อเอาไว้บูสต์การเติบโต หลักๆ ลงทุนเน้นคว้าโอกาสทำกำไรให้สูงขึ้นและมีความเสี่ยงมากขึ้นด้วย ซึ่งแนะนำให้ลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่ หุ้นรายตัว เลือกรายอุตสาหกรรมหรือธีมเมกะเทรนด์ที่มีอนาคตเติบโตสูง ผมมองตลาดเกิดใหม่ตอนนี้ยังเป็นจีน เวียดนาม ส่วนหุ้นรายตัวหรือธีมเมกะเทรนด์ก็ดูจากตามธีมต่างๆ ข้างต้นเลยครับ

การลงทุนแบบ Core & Satellite เป็นการค่อยๆ ใส่เงินลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ให้เหมาะสมด้วยนะครับ สำหรับการลงทุนสัดส่วนเหมาะสมสำหรับตัวคนที่กลัวความผันผวน และไม่อยากเสียเงินต้น ผมแนะนำลงทุนในพอร์ตหลัก 80% ของเงินลงทุนและพอร์ตรอง 20% พอครับ คุณได้รับผลตอบแทนต่ำแต่แน่นอน ยามที่พอร์ตรองเสียหายก็มีพอร์ตหลักอยู่ครับ อย่างน้อย คุณก็ยังล้มบนฟูก สูตรนี้เหมาะสำหรับสถานการณ์โลกไม่แน่นอนในเวลานี้ครับ

ส่วนคนที่อยากได้ผลตอบแทนสูงและกล้าเสี่ยง ก็สามารถจัดพอร์ตหลักและพอร์ตรองอย่างละ 50% ซึ่งหากพอร์ตรองเสียหาย คุณก็เจ็บตัวพอสมควรราวครึ่งหนึ่งของพอร์ตครับ แม้จะมีพอร์ตหลักให้ผลตอบแทนอยู่แต่ก็น้อยครับ ในทางตรงกันข้ามก็มีลุ้นผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเช่นกันครับหากสถานการณ์โลกมีข่าวร้ายน้อยกว่าข่าวดี

ส่วนคนที่กล้าได้กล้าเสีย เพราะอยากได้ผลตอบแทนสูง คุณก็สามารถเลือกลงทุนในพอร์ตรองในสัดส่วนสูงกว่าพอร์ตได้ครับ ซึ่งถ้าพอร์ตรองเกินกว่าครึ่งของพอร์ตหลัก ในยามที่เจอภาวะตลาดหุ้นโลกแกว่งขาลง แน่นอนว่าพอร์ตคุณจะติดลบหนักครับ แม้จะถอนตัวได้เร็วก็ยังเสียหายเกินครึ่งของเงินในพอร์ต โดยเหลือเงินในส่วนขอพอร์ตหลักติดไม้ติดมือ

ดังนั้น คนที่ต้องการปั้นพอร์ตสร้างความมั่งคั่งโดยเน้นไปที่การลงทุนความเสี่ยงสูงๆ สิ่งที่อยากเน้นย้ำก็คือ ลงทุนเสี่ยงสูงได้ก็จริง แต่คุณก็ต้องจัดพอร์ตให้เหมาะสมด้วยครับ คุณควรบริหารความเสี่ยงด้วยจำนวนเงินที่เหมาะสม

และถ้าอยากเสี่ยงสูงก็ควรลงทุนแบบ DCA ควบคู่ไปด้วย การ DCA ก็จะช่วยให้คุณถัวเฉลี่ยต้นทุน ไม่ต้องจับจังหวะ ทำให้พอร์ตมั่นคงขึ้น และสามารถเติบโตในระยะยาวได้

แต่อย่าลืมว่า ตอนนี้ ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกคือ ความไม่แน่นอน ซึ่งความไม่แน่นอนนี้มาจากสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ 2.0

เพราะฉะนั้น สัดส่วนที่แนะนำก็คือ Core Port 80% และ Satellite Port 20% จะช่วยเป็นเกราะคุ้มภัยรับมือโลกปั่นป่วน ตลาดผันผวนครับ เชื่อผมเถอะครับ ให้พอร์ตล้มบนฟูก “ดีกว่า” ล้มตึงหงายหลังครับ

ส่วนใหญ่นักลงทุนมักมองที่ผลตอบแทนเป็นหลักความเสี่ยงเป็นรอง แต่โลกลงทุนในระยะกลาง คุณต้องมองความเสี่ยงเป็นหลัก และผลตอบแทนที่เหมาะสมดีกว่าครับ จัดพอร์ตลงทุนให้อุ่นใจ ค่อยๆ บูสต์การเติบโตไปเรื่อยๆ คุณจะนอนหลับอย่างสบายใจได้รับผลตอบแทนยาวๆ ไปแน่นอนครับ