เมืองไทยประกันชีวิต ปิดปี‘67 เบี้ยรวม 7.18 หมื่นล้าน เบี้ยใหม่โต 13%

เมืองไทยประกันชีวิต ปิดปี 2567 เบี้ยรับรวมแตะ 7.18 หมื่นล้านบาท เบี้ยรับรายใหม่โต 13% ปี 2568 รักษาอัตราการเติบโตเป็นบวกต่อ ชูกลยุทธ์ “Boost Your Happiness by our People” เดินหน้าบูสต์ความสุข ตอกย้ำผู้นำแบรนด์แห่งการสร้างความสุขและรอยยิ้มอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทจะรักษาอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตรับรวมให้มีอัตราการเติบโตเป็นบวกต่อไป จากปิดปี 2567 มีเบี้ยรับรวมแตะ 71,800 ล้านบาท เติบโต 1.76% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) และมีเบี้ยรับรายใหม่เติบโต 13% ซึ่งเป็นการเติบโตในกลุ่มสินค้าหลัก อาทิ Shield Life (ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบภายในระยะเวลาและประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์) เติบโตสูงถึง 42% และแบบประกันคุ้มครองโรคร้ายแรง (รายเดี่ยว) เติบโต 24% ด้านคะแนน NPS (Net Promoter Score) สูงขึ้นจาก 58 คะแนน เป็น 75 คะแนน ขณะที่ธุรกิจในภูมิภาค CLMV ยังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง

“เราปรับพอร์ตสินค้าประกันมาเป็นเวลากว่า 2-3 ปีแล้ว เพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS17 ที่เริ่มบังคับใช้เมื่อ 1 มกราคม 2568 โดยลดสัดส่วนประกันสะสมทรัพย์และเพิ่มสัดส่วนสินค้าความคุ้มครอง แม้ปัจจุบันประกันสะสมทรัพย์ยังเป็นพอร์ตใหญ่อยู่ แต่ได้ปรับ Pricing สินค้าที่ขายให้เป็นบวกตลอดอายุสัญญากรมธรรม์เรียบร้อยเพื่อสร้างความยั่งยืน และในส่วนพอร์ตประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงก็ขยับขึ้นมาเป็นพอร์ตที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 แล้ว” นายสาระกล่าว

ทั้งนี้สำหรับปีนี้สินค้าประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงยังเป็นสินค้าเรือธงของบริษัทอยู่ โดยมีแบบประกันให้ลูกค้าเลือกทั้งความคุ้มครองแบบเหมาจ่ายและอะลาคาร์ต เช่น การตรวจสุขภาพ, ค่าทำฟัน หรือแม้แต่ Mental Health เป็นต้น รวมถึงโฟกัสการประกันชีวิตตลอดชีพ และประกันชีวิตควบการลงทุนด้วย

สำหรับในปีนี้บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต ยังคงตอกย้ำตัวตนในการเป็นแบรนด์แห่งการสร้างความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง พร้อมยกระดับการส่งมอบความสุขผ่านกลยุทธ์ “Boost Your Happiness by our People” บูสต์ความสุขของคุณด้วยคนของเมืองไทยประกันชีวิต ด้วยการเดินหน้าพัฒนาองค์กรในทุกภาคส่วน 

ADVERTISMENT

โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าทุกท่านด้วยความเป็นมืออาชีพ (Professionalism & Expertise) ความโปร่งใสและความสะดวกสบาย (Transparency & Convenience) และความไว้วางใจ (Commitment & Trust) ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในทุกช่วงชีวิต ประสบการณ์การบริการแบบไร้รอยต่อ (Seamless Experience) และคำมั่นสัญญาตลอดชีวิต (Lifelong Commitment) ผสานกันอย่างลงตัวเพื่อตอบโจทย์ในทุกความเป็นคุณ

ทั้งนี้บริษัทเดินหน้าพัฒนาองค์กรทุกภาคส่วน ด้วยการพัฒนาพนักงาน และฝ่ายขายให้มีความสามารถรอบด้าน เพิ่มทักษะการใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ผสมผสานอยู่ในทุกกระบวนการทำงาน (Data & AI Literacy) ทักษะด้านการสื่อสารและการบริหาร (Soft Skills) ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Expert Knowledge) และความเชี่ยวชาญในหลายมิติ (Cross-Domain Expert Knowledge) ควบคู่ไปกับสร้างความสุขจากภายในองค์กร ให้กับ “คนของเรา” ที่มีความหลากหลายให้ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ “การส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าคนสำคัญ”

ADVERTISMENT

 โดยคนของเรา พร้อมส่งมอบความสุขให้แก่ลูกค้าผ่านการวางแผนสำหรับทุกช่วงของชีวิต ทั้งการวางแผนทางการเงิน การวางแผนเกษียณ การวางแผนสุขภาพ และการวางแผนมรดก ด้วยความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต ประกันชีวิตแบบบำนาญ ประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง ประกันอุบัติเหตุ และประกันชีวิตควบการลงทุน รวมถึงฟีเจอร์พิเศษทั้งความยืดหยุ่นด้วยรูปแบบความคุ้มครองที่ปรับแต่งได้ (Modular Design) ความคุ้มครองที่ปรับได้ตามช่วงชีวิตของลูกค้า (Convertible Option) และการเติมเต็มความคุ้มครองที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น (Plus)

คนของเรา พร้อมส่งต่อประสบการณ์ไร้รอยต่อผ่านบริการในช่องทางต่าง ๆ ตั้งแต่การซื้อประกันภัยที่สามารถเข้าถึงได้ทุกคนได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งช่องทางตัวแทน ช่องทางธนาคาร ช่องทางการขายผ่านโทรศัพท์ ช่องทางออนไลน์ และพาร์ตเนอร์ต่าง ๆ รวมถึงการให้บริการที่ครบวงจรและเข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นช่องทางสาขา Call Center 1766 แอปพลิเคชั่น MTL Click เมืองไทยสไมล์คลับ และ MTL Fit เป็นต้น นอกจากนี้ลูกค้ายังจะได้รับความสะดวกสบายด้วยการทำธุรกรรมทางกรมธรรม์ และบริการหลังการขาย ไม่ว่าจะเป็นระบบ e-Payment หรือ e-Document เป็นต้น 

นายสาระกล่าวว่า ธุรกิจประกันชีวิต เป็นธุรกิจที่ให้ความคุ้มครองแก่ลูกค้าในระยะยาว ดังนั้น เมืองไทยประกันชีวิตจึงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกก้าว ภายใต้การกำกับดูแลกิจการ และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงการสร้างสมดุลทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติบรรษัทภิบาล (ESG)  โดยเฉพาะในส่วนของมิติสังคม บริษัทยังคงเดินหน้าในการพัฒนาแบบประกันภัยที่ช่วยตอบโจทย์การเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกคน (Democratize Insurance) พร้อมสร้างความรู้ด้านการวางแผนการเงินและประกันภัย (Financial & Insurance Literacy) ให้กับประชาชนทั่วไป และการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน 

ด้านมิติสิ่งแวดล้อม เมืองไทยประกันชีวิตในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก ได้ร่วมสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนผ่านโลกของเรา ประกาศความมุ่งมั่นในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Commitment) ด้วยเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ จากการดำเนินงานของบริษัท (ขอบเขตที่ 1 และ 2) ภายในปี 2573 (2030) ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงานภายในบริษัท 

“ในปีนี้เราตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นปีที่สีบานเย็นจะบานสะพรั่งทั่วประเทศ โดยเมืองไทยประกันชีวิตจะยกระดับความสุขให้กับทุกคน ทั้งลูกค้า พาร์ตเนอร์ พนักงานและฝ่ายขายของเรา และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ผ่านผลิตภัณฑ์ บริการ และช่องทางการขายต่าง ๆ สีบานเย็นจะรวมพลังกันอย่างแข็งแกร่ง เพื่อส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้ลูกค้าคนสำคัญของเราทุกคน” นายสาระกล่าว 

หมายเหตุ คำจำกัดความเรื่องการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 

ขอบเขตที่ 1 ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรโดยตรง (Direct Emissions) ได้แก่ การเผาไหม้อยู่กับที่ อาทิ เครื่องจักร การเผาไหม้ที่มีการเคลื่อนที่ อาทิ การใช้พาหนะขององค์กร (ที่องค์กรเป็นเจ้าของเอง) และการรั่วซึม/รั่วไหลของสารเคมีจากกระบวนการหรือกิจกรรม เป็นต้น

ขอบเขตที่ 2 ปริมาณก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Energy Indirect Emissions) ได้แก่ การซื้อพลังงานมาใช้ในองค์กร อาทิ พลังงานไฟฟ้า หรือพลังงานนำเข้าอื่น ๆ เช่น ไอน้ำ ความร้อน ความเย็น อากาศอัด เป็นต้น