
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 20-24 มกราคม 2568 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (20/1) ที่ระดับ 34.4445 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (17/1) ที่ระดับ 34.47/48 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นโดยตลอดทั้งสัปดาห์
ท่ามกลางการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐ ผ่านแรงหนุนจากการที่นักลงทุนคาดว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจไม่ได้ดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้ากับจีนอย่างแข็งกร้าวดังที่เคยคาดไว้ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 ในวันจันทร์ (20/1) และประกาศจุดเริ่มต้นของ “ยุคทองแห่งอเมริกา” พร้อมเปิดเผยประกาศนโยบายที่เขาจะดำเนินการทันทีหลังการรับตำแหน่ง ซึ่งส่วนใหญ่สวนทางกับนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เช่น ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติเพื่อลดราคาพลังงานในสหรัฐ ด้วยการเพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน วางท่อน้ำมัน และตั้งโรงกลั่นน้ำมัน,
ประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติทางชายแดนด้านใต้สหรัฐ และส่งกำลังทหารเข้าปกป้องชายแดนเพื่อสกัดการลักลอบเข้าเมืองจากเม็กซิโก และสหรัฐจะทำการเนรเทศอาชญากรต่างชาติกลับประเทศ, ถอนตัวจากความตกลงปารีส ซึ่งเป็นความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยกเครื่องระบบการค้าสหรัฐ ด้วยการเก็บภาษีอากรจากต่างประเทศเพื่อสร้างความร่ำรวยต่อชาวอเมริกัน ไม่ใช่การเก็บภาษีชาวอเมริกันเพื่อสร้างความร่ำรวยแก่ประเทศอื่น เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นเรื่องภาษีศุลกากรกับจีน ทางประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐยังไม่ปรับขึ้นภาษีศุลกากรกับจีนทันทีในวันแรกที่ดำรงตำแหน่ง แต่สั่งให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาขาดดุลการค้าที่สหรัฐเผชิญมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดการกับการค้าที่ไม่เป็นธรรม และการบิดเบือนค่าเงินของประเทศอื่น ๆ ขณะที่มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วสุดในเดือน ก.พ.นี้ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ช่วยบรรเทาความกังวลของบริษัทบางแห่ง ที่เคยวิตกกังวลว่าในช่วงหาเสียงที่ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะเรียกเก็บภาษี 10-20% จากสินค้าที่นำเข้าทั้งหมด และเรียกเก็บภาษีสูงถึง 60%
สำหรับสินค้าจากจีน นอกจากนี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐใช้คำพูดในเชิงกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในวันพฤหัสบดี (23/1) ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เรียกร้องให้ธนาคารกลางทั่วโลกปรับลดอัตราดอกเบี้ย และเรียกร้องให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ปรับลดราคาน้ำมัน ขณะเดียวกันเขาเตือนว่าผู้นำภาคธุรกิจทั่วโลกจะเผชิญกับการถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าที่ผลิตนอกเขตแดนสหรัฐ
อย่างไรก็ดี FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนยังคงให้น้ำหนักเกือบ 100% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 28-29 ม.ค. สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยนั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 6,000 ราย สู่ระดับ 223,000 ราย ในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 219,000 ราย
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ค่าเงินบาทแข็งค่าใกล้ระดับ 33.60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในวันศุกร์ (24/1) ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบประมาณ 2 เดือน จากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ หลังตลาดคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ทางด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง มีการประเมินเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2568 ว่ามีแนวโน้มจะขยายตัวได้เป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแรงส่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของรัฐบาลที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปี 2567 อาทิ
มาตรการโอนเงินตามโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท (โครงการไร่ละพัน) และยังมีมาตรการ Easy E-Receipt รวมถึงมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งน่าจะช่วยสนับสนุนให้ตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2568 ที่ออกมาดีพอสมควร
อีกทั้งยังได้กล่าวถึงการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐอาจจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนว่า ในขณะนี้นโยบายยังไม่ส่งผลกระทบต่อไทย เพราะไทยไม่ได้อยู่ในลิสต์ รวมถึงจะส่งทีมไปเจรจาหารือในนามรัฐบาลเพื่อหาโอกาสที่จะสามารถส่งออกสินค้าให้กับสหรัฐมากขึ้น พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลกำลังจับตาสินค้าจากจีนที่อาจทะลักเข้าไทย
ซึ่งผลกระทบจากการที่สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน โดยจะพยายามไม่ให้กระทบกับภาค SME โดยภาครัฐจะพยายามตรวจคุณภาพสินค้านำเข้า ให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด และในวันพฤหัสบดี (23/1) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกของไทยในเดือน ธ.ค. ปี 2567 มีการขยายตัวขึ้นอยู่ที่ 8.7% ซึ่งมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 24,765.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ในด้านการส่งออกของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มีการขยายตัวอยู่ที่ 6.0%
สินค้าที่มีการขยายตัวมีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ได้แก่ ยางพารา อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้การส่งออกขยายตัวเกิดจากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่เพิ่มขึ้น และภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ ขยายตัวอยู่ที่ 12.0% ส่วนใหญ่มีการขยายตัวที่ตลาดสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ทั้งนี้ในช่วงระหว่างสัปดาห์นี้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 33.61-34.49 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (24/1) ที่ระดับ 33.61/63 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดวันจันทร์ (20/1) ที่ระดับ 1.0286/88 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (17/1) ที่ระดับ 1.0296/97 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อย่างไรก็ดีค่าเงินยูโรปรับตัวแข็งค่าขึ้นผ่านแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ขานรับข่าวที่ว่าทรัมป์ยังไม่ประกาศขึ้นภาษีในวันแรกของการเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการสำหรับตัวเลขทางเศรษฐกิจ สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ประจำเดือน ธ.ค. ลดลง 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ว่าจะเพิ่มขึ้นที่ 0.3% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือน พ.ย.
อีกทั้งในวันอังคาร (21/1) มีการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจจากสถาบัน ZEW ที่ออกมา 10.3 ปรับตัวลดลงมาจากเดือน ธ.ค. ที่ 15.7 น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 15.2 และในช่วงบ่ายวันศุกร์ (24/1) ได้มีการเปิดเผยตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของประเทศเยอรมนีปรับตัวขึ้นที่ระดับ 44.1 จากระดับ 42.5 สูงกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 42.7
ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการปรับตัวขึ้นเช่นกันที่ระดับ 52.5 จากระดับ 51.2 สูงกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 51.1 โดยในช่วงระหว่างสัปดาห์นี้ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0265-1.0514 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (24/1) ที่ระดับ 1.0491/92 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดวันจันทร์ (20/1) ที่ระดับ 155.96/98 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (17/1) ที่ระดับ 155.73/75 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ในวันจันทร์ (20/1) กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตอุตสาหกรรมประจำเดือน พ.ย. หดตัวลง 2.2% จากที่ลดลง 2.3% ในเดือน พ.ย.
ทั้งนี้ ค่าเงินเยนปรับตัวผันผวนโดยตลอดทั้งสัปดาห์ อย่างไรก็ดีในวันศุกร์ (24/1) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2551 โดยมีเป้าหมายที่จะปรับนโยบายการเงินสู่ระดับที่เป็นกลาง หลังจาก BOJ แถลงมติการประชุมดังกล่าว เงินเยนอ่อนค่าลงเล็กน้อย
ทางด้านเจ้าหน้าที่อาวุโสของ BOJ ซึ่งรวมถึงคาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ BOJ และเรียวโซ ฮิมิโนะ รองผู้ว่าการ ได้ออกมาส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่า BOJ มีความพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ด้านสำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ ในวันนี้ (24/1) มีขึ้นท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่าจะมีการปรับขึ้นค่าจ้างในระหว่างการเจรจาค่าจ้างประจำปีระหว่างสหภาพแรงงานและฝ่ายบริหาร หรือชุนโต (Shunto)
ขณะเดียวกัน BOJ ส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง หากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเคลื่อนไหวสอดคล้องกับที่ BOJ คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ค่าเงินเยนปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการ BOJ ยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารสด
สำหรับช่วงเวลา 3 ปีจนถึงปีงบประมาณ 2569 โดยระบุว่า ราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้นและเงินเยนที่อ่อนค่าลงได้ส่งผลให้ราคานำเข้าปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ BOJ คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI พื้นฐานจะขยายตัว 2.7% ในปีงบประมาณ 2567, 2.4% ในปีงบประมาณ 2568 และ 2.0% ในปีงบประมาณ 2569 เมื่อเทียบกับตัวเลขการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 2.5%, 1.9% และ 1.9% ตามลำดับ ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 154.76-156.75 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (24/1) ที่ระดับ 155.24/29 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ