ดอลลาร์สหรัฐยังถูกดัน นักลงทุนจับตาผลประชุมเฟดสัปดาห์นี้

US dollar
(file photo) REUTERS/Mohamed Azakir

ดอลลาร์สหรัฐยังถูกดัน นักลงทุนจับตาผลการประชุมเฟดสัปดาห์นี้ พร้อมเพิ่มน้ำหนักต่อคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้เร็วขึ้น หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กดดันเฟดให้ปรับลดดอกเบี้ย

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงทพ รายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2568 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (27/01) ที่ระดับ 33.65/67 บาท/ดอลลาร์สหรัฐทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (24/01) ที่ระดับ 34.64/66 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าในช่วงคืนวันศุกร์หลังมีการเปิดเผยตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมาผสมผสาน โดยเอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 52.4 ในเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน จากระดับ 55.4 ในเดือน ธ.ค. โดยดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวของภาคธุรกิจสหรัฐ โดยได้รับแรงหนุนจากการที่ภาคการผลิตกลับมามีการขยายตัว หลังจากอยู่ในภาวะหดตัวก่อนหน้านี้

แต่ดัชนี PMI ถูกกดดันจากการที่ภาคบริการมีการขยายตัวในอัตราที่ต่ำลง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน จากระดับ 49.4 ในเดือน ธ.ค. โดยดัชนี PMI อยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวของภาคการผลิต ในขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น ปรับตัวลงสู่ระดับ 52.8 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน จากระดับ 56.8 ในเดือน ธ.ค. โดยดัชนี PMI ยังอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการยังคงมีการขยายตัว

นอกจากนี้ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 71.1 ในเดือน ม.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 73.2 จากระดับ 74.0 ในเดือน ธ.ค. ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคมีการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 3.3% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และเพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือน ธ.ค. ที่ระดับ 2.8%

สำหรับในช่วง 5 ปีข้างหน้า ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 3.2% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.3% และเพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือน ธ.ค. ที่ระดับ 3.0%

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังถูกกดดันหลังนักลงทุนเพิ่มน้ำหนักต่อคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้เร็วขึ้นเป็นเดือน พ.ค. หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กดดันเฟดให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 40.0% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือน พ.ค. หลังจากที่ให้น้ำหนัก 37.2% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 52.2% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือน พ.ค. หลังจากที่ให้น้ำหนัก 56.3% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะเดียวกัน นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.5% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 28-29 ม.ค.

ADVERTISMENT

ด้านปัจจัยภายในประเทศ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะสามารถขยายตัวได้เกิน 3% เนื่องจากมีโครงการขนาดใหญ่ที่เข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ไปถึงต้นปีหน้า และจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศได้อย่างต่อเนื่องด้วย

นายพิชัยกล่าวว่า รัฐบาลได้เดินหน้าเร่งรัดการลงทุน ทั้งการลงทุนภาครัฐ และเอกชน เพื่อให้เกิดการจ้างงาน รวมทั้งจะการขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ ออกมาเป็นระยะ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงรอยต่อรอการลงทุน

นอกจากนี้ นายพิชัยยังเปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ทาบทามบุคคลที่จะเข้าชิงตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยกระทรวงการคลังจะเสนอรายชื่อผู้ที่เหมาะสมตามกำหนดคือ ภายในวันที่ 7 ก.พ. 68 พร้อมระบุว่า บุคคลที่ได้รับการทาบทามนี้เป็นคนที่รู้จักกันดีในสังคม

ทั้งนี้ ในระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 33.56-33.81 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 33.68/70 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (27/01) ที่ระดับ 1.0472/73 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (24/01) ที่ระดับ 1.0493/99 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ทั้งนี้ ธุรกิจในยูโรโซนเริ่มต้นปีใหม่ด้วยแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยผลสำรวจจาก S&P Global ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (24/01) บ่งชี้ว่า ดัชนี PMI ภาคบริการยังคงรักษาระดับความเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นคงในเดือน ม.ค. ขณะที่ภาคการผลิตที่ซบเซามานานก็เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว

โดยดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของยูโรโซนเดือน ม.ค. จาก HCOB ปรับตัวขึ้นเป็น 50.2 จาก 49.6 ในเดือน ธ.ค. สูงกว่าโพลของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 49.7 ด้านดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นเดือน ม.ค. จาก HCOB ลดลงมาอยู่ที่ 51.4 จาก 51.6 ในเดือน ธ.ค. ต่ำกว่าการคาดการณ์ของโพลรอยเตอร์ที่ 51.5 ขณะเดียวกันดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นเดือน ม.ค. จาก HCOB เพิ่มขึ้นเป็น 46.0 จาก 45.1 ในเดือน ธ.ค. สูงกว่าการคาดการณ์ของโพลรอยเตอร์ที่ 45.3

ในระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวกรอบระหว่าง 1.0452-1.0490 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0483/85 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (27/01) ที่ระดับ 155.51/52 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (24/01) ที่่ระดับ 155.71/75 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยสำนักข่าวเกียวโดเปิดเผยผลสำรวจล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (26/01) ว่าคะแนนนิยมของรัฐบาลภายใต้การนำของชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ลดลงมาอยู่ที่ 35.7% จากเดิม 36.5% ในเดือนที่แล้ว

ผลสำรวจดังกล่าวชี้ว่า ประชาชนญี่ปุ่นราว 84.3% กำลังกังวลอย่างหนักกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ขณะเดียวกัน ตัวเลขผู้ที่ไม่พอใจการทำงานของรัฐบาลก็พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จาก 43.1% ในเดือนธันวาคม มาอยู่ที่ 49.2% ในเดือนนี้

ทั้งนี้ ระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 155.01-156.24 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 154.92/93 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐอเมริกา (28/01), ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของ Conference Board (28/01), ดัชนีภาคการผลิตของรัฐริชมอนด์ (28/01), Federal Funds Rate (30/01), Main Refinancing Rate ของยูโรโซน (30/01), ประมาณการตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของสหรัฐอเมริกา (30/01),

จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐอเมริกา (30/01), ยอดขายที่อยู่อาศัยที่อยู่การปิดการขายของสหรัฐอเมริกา (30/01), ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของโตเกียว (31/01), ดัชนีราคาผู้บริโภคชาวเยอรมัน (31/01), ดัชนีราคาค่่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลของสหรัฐอเมริกา (31/01), ดัชนีอัตราค่าจ้างแรงงานของสหรัฐอเมริกา (31/01)

สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -6.10/-5.90 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -7.50/-5.50 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ