พิชัย ลุยแก้หนี้ NPL เกิน 1 ปี เล็งช่วยลดเงินต้น หวังเห็นธปท.ลดดอกเบี้ย

หนี้ NPL

พิชัยเตรียมเดินหน้าต่อแก้ไขหนี้ NPL เกิน 1 ปี เล็งลดเงินต้น-ดอกเบี้ย เผยอยากเห็นแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย คุมอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่ง มองเศรษฐกิจไทยปี’68 โตกว่า 3-3.5%

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในงาน The Better Economic Forum 2025 ว่าประเทศไทยยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือน แต่คาดว่าช่วงสิ้นปีนี้ระดับหนี้ครัวเรือนน่าจะลดลงได้ เช่นเดียวกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จากมาตรการที่ภาครัฐได้ดำเนินการไป เช่น โครงการคุณสู้ เราช่วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเปิดลงทะเบียนโครงการคุณสู้ เราช่วย ซึ่งจะดำเนินการถึงวันที่ 28 ก.พ.นี้

ทั้งนี้ ในระยะต่อไปมีแนวคิดที่จะแก้หนี้ให้กับกลุ่มที่มีหนี้เสียมากกว่า 1 ปีขึ้นไป ซึ่งกลุ่มนี้มีจำนวนมาก และแก้ได้ยาก จึงคิดว่าต้องใช้วิธีที่แตกต่างออกไป โดยมองว่ากลุ่มนี้หากช่วยลดดอกเบี้ยคงไม่พอ อาจมีการพิจารณาตัดต้นให้ด้วยหรือไม่ ซึ่งต้องหารือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งหมด รวมถึงสถาบันการเงิน หากแก้หนี้ได้ก็จะเป็นประโยชน์กับสถาบันการเงินด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังต้องดูตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 4/2567 ถ้าออกมาดี ซึ่งเบื้องต้นกระทรวงการคลังประเมินว่าจะอยู่ที่ 4% หากไม่มีน้ำท่วม แต่เมื่อมีน้ำท่วมตัวเลขอาจจะชะลอลงมาเหลือ 3.5% ซึ่งหากเศรษฐกิจออกมาในทิศทางที่ดี ก็เชื่อว่าการหารือร่วมกับสถาบันการจะเข้าใจกันมากขึ้น

สำหรับนโยบายการเงิน ยืนยันว่ายังอยากเห็นดอกเบี้ยที่ถูกลง เพราะประชาชนมีหนี้ทั้งระบบกว่า 16 ล้านล้าน หนี้รัฐบาลอีกกว่า 10 ล้านล้าน หากดอกเบี้ยลดลงก็จะช่วยได้เยอะ ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ก็จะต้องพิจารณาไม่ให้เสียเปรียบคู่แข่ง ไม่ควรมองระยะสั้น เงินบาทต้องมีเสถียรภาพ แต่คนที่จะตัดสินใจเรื่องนี้คือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

ส่วนเรื่องอัตราเงินเฟ้อในปี 2567 ที่ออกมาถือว่าต่ำมาก ขยายตัวไม่ถึง 0.5% ผิดจากความจริงไปค่อนข้างเยอะ ซึ่งส่วนตัวมองว่าการบริหารทั้งเรื่องอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนั้น จะต้องพิจารณาเรื่องความเข้มแข็งของประเทศเข้าไปด้วย ซึ่งตรงนี้มองว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลซึ่งดูแลนโยบายการคลังที่จะต้องมาคุยกับผู้ดูแลนโยบายการเงิน เพื่อหาความเห็นหรือจุดสมดุลในการดูแลเรื่องดังกล่าวที่ใกล้เคียงกัน

ADVERTISMENT

“คนไทยมีหนี้ 16 ล้านล้านบาท และรัฐบาลเป็นหนี้อีก 10 กว่าล้านล้าน หากลดไป 1% หนี้จะลดไป 1 หมื่นล้าน 10 ล้านล้าน ก็ 1 แสนล้านบาท 20 ล้านล้าน ก็ 2 แสนล้าน ซึ่งถ้าดอกเบี้ยลดลงก็ช่วยได้เยอะ ก็ได้แต่ภาวนา ก็หวังว่าจะได้เห็นดอกเบี้ยลดลงไปอีก” นายพิชัยกล่าว

ทั้งนี้ จากการที่รัฐบาลเริ่มขับเคลื่อนงบประมาณได้ 5-6 เดือน โดยมองว่าในปี 2567 คาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจขยายตัวได้ที่ระดับ 2.6-2.7% โตกว่าปีก่อนที่ 1.9 หรือมากกว่า 45% โดยหลายหน่วยงานเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะโตได้ไม่ถึง 3% แต่ส่วนตัวมั่นใจแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้มากกว่า 3% อย่างแน่นอน โดยคิดว่าน่าจะเติบโตถึงระดับ 3-3.5%

ADVERTISMENT

โดยมีผลมาจากการบริโภคขยายตัวเพิ่มขึ้น จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ แจกเงิน 10,000 บาท ด้านภาคการส่งออกที่เติบโตได้มากกว่า 5% ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวก็ขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปี 2568 คาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจะขยับขึ้นไปถึงสุดสูงสุดที่ 39 ล้านคน จากปีที่ผ่านมา อยู่ที่ราว 35 ล้านคน ซึ่งเป็นอันดับ 2 ของโลกที่คนจะมาเที่ยว

ส่วนลงทุนภาคเอกชน รัฐบาลได้เร่งสร้างความเชื่อมั่น และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ โดยปกติใช้เวลา 2 ปีขึ้นไปในการเห็นคนจะเข้ามาลงทุน ขึ้นอยู่กับขนาดของกิจการ โดยในปีที่ผ่านมา พบว่ามีนักลงทุนต่างชาติที่แสดงความสนใจจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญ

ขณะที่การลงทุนภาครัฐจะให้งบประมาณส่วนใหญ่ใช้เป็นรายจ่ายประจำประมาณ 80% ที่เหลือก็เป็นรายจ่ายเงินทุน แต่จริง ๆ แล้วรัฐบาลมีการจัดการต่าง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในงบประมาณลงทุน โดยเป็นการลงทุนเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ เช่น โครงการรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟเชื่อมสามสนามบิน

ทั้งนี้ ยังต้องติดตามความผันผวนและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งวันนี้ยังไม่มีใครเดาออกว่าจะไปทางไหน แต่ต้องยอมรับว่าทุกคนมีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งกระทรวงการคลังขอใช้เวลา 1-2 เดือนในการประเมิน