คุยกับ “ไฮโซเซนต์” หุ้นไทยไม่ปัง-โบรกฯต้องปรับตัว

ธราภุช คูหาเปรมกิจ
ธราภุช คูหาเปรมกิจ
สัมภาษณ์พิเศษ

นับสิบปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยไม่ได้สวยหรูนัก หลายปีที่ผลตอบแทนติดลบ เงินทุนไหลออก วอลุ่มซื้อขายเบาบาง ทำให้ธุรกิจโบรกเกอร์เองก็ต้องปรับตัว นับเป็นโอกาสดีที่ผู้ที่ทำธุรกิจนี้อย่าง “ธราภุช คูหาเปรมกิจ” กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GBX หรือ “ไฮโซเซนต์” ที่แวดวงสังคมรู้จักกันดี ในฐานะคู่ชีวิตของดาราสาวชื่อดัง “มิว-นิษฐา” ซึ่งได้มาเล่าให้ “ประชาชาติธุรกิจ” ฟังถึงทิศทางธุรกิจในปีนี้

“ทรัมป์” ป่วนตลาดผันผวนสูง

“ธราภุช” กล่าวถึงบรรยากาศการลงทุนปีนี้ว่า มองภาพการลงทุนยังค่อนข้างท้าทาย ตลาดเงินและตลาดทุนจะมีความผันผวนสูง และคาดเดาไม่ได้ (Unpredictable) เพราะหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ได้ประกาศยกเลิกข้อตกลง Paris Agreement ซึ่งจะมีผลกระทบต่อแนวโน้มการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และคาร์บอนเครดิตอยู่พอสมควร จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตา

“ก่อนหน้านี้เราอาจจะมองว่าคาร์บอนเครดิตมาแน่ พวกดาต้าเซ็นเตอร์ที่จะใช้พลังงานหมุนเวียนมาแน่ ๆ แต่ตอนนี้ไม่แน่แล้ว ทำให้ในอนาคตเรื่องความแน่นอนที่พวกเราเคยเชื่ออาจต้องคอยมอนิเตอร์อย่างระมัดระวัง ในส่วนตลาดหุ้นก็คงต้องมอนิเตอร์ใกล้ชิด มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้มาก

อย่างที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีการคาดการณ์ว่าจะลดดอกเบี้ยลงหลายครั้ง แต่ล่าสุดดูแล้วอาจจะไม่มากเท่าที่นักลงทุนคาดการณ์ ก็จะมีผลต่อสินทรัพย์ทุกประเภท”

มองหุ้นจีนเด่นสุด-ทองอาจทรงตัว

สำหรับสินทรัพย์ที่น่าสนใจปีนี้ “ธราภุช” กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าสินทรัพย์ที่เด่นสุดและเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย คือหุ้นจีน เพราะ Valuation ตอนนี้ค่อนข้างถูก ถ้าเทียบกับหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ โดยหุ้นเทคจีนยังสมเหตุสมผล เพราะอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนไม่ค่อยดีมาก แต่ด้วย Valuation ปัจจุบันดาวน์ไซด์ไม่ได้ดูแย่มาก เมื่อเทียบกับความแพงของหุ้นสหรัฐบางตัว

ส่วนทิศทางราคาทองคำ พอดอกเบี้ยเฟดไม่ได้ปรับตัวลงอย่างที่คาดการณ์ไว้ ราคาทองคำก็อาจจะมีโอกาสย่อตัวลงมาได้ และการที่ทรัมป์ไปโฟกัสกับใช้น้ำมันราคาถูกมากขึ้น โดยไม่ได้กังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) จะลดแรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อ ซึ่งก็เป็นผลลบกับราคาทองคำพอสมควร ซึ่งราคาทอง ถ้ามองย้อนหลังไปช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพอร์ฟอร์มค่อนข้างดี หรือขึ้นกว่า 10-20%

ADVERTISMENT

“ปีนี้คาดว่าราคาทองคำค่อนข้างทรงตัว แนวโน้มอาจไม่สดใสเหมือนที่ผ่านมาจากเรื่องดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ และจากที่ทรัมป์โปรเรื่องคริปโตเคอร์เรนซีมาก ๆ อาจมีเงินจำนวนหนึ่งโยกไปลงทุนพวก Digital Currency สำหรับเทคนิคการลงทุนทองคำ ต้องมอนิเตอร์ข่าวดอกเบี้ยและนโยบายของทรัมป์อย่างใกล้ชิด

แต่จริง ๆ ถ้ามองภาพพอร์ตลงทุนรวม ไม่ได้มองสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ทองคำยังเป็นสินทรัพย์สำคัญในพอร์ตลงทุนเกือบทุกประเภท เพราะป้องกันความเสี่ยงในตัวเอง เช่น เงินเฟ้อ, สงคราม และความไม่แน่นอนหลาย ๆ แบบ แต่อาจต้องมองจังหวะในการเข้าซื้อที่ค่อนข้างต้องระมัดระวัง”

ADVERTISMENT

มองหาการลงทุนใหม่เพื่อเติบโต

ในแง่การดำเนินธุรกิจ “ธราภุช” กล่าวว่า ปัจจุบัน GBX มีบริษัทย่อย 2 แกนหลักคือ 1.บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ทำธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) และการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างรายได้หลัก

และ 2.บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ทำธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงิน ให้บริการทั้ง Investment Banking, IPO, M&A และ IFA ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา ผลประกอบการ GBX ค่อนข้างทรงตัว ไม่ได้หวือหวา เพราะธุรกิจโบรกเกอร์ หากไม่ใช่ปีที่ดีจริง ๆ จะไม่ใช่ธุรกิจที่ทำกำไรมาก

สำหรับทิศทางปี 2568 ทาง GBX มองหาการลงทุนธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มเติม จากที่มีเงินทุนอยู่พอสมควร แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยในส่วนธุรกิจโบรกเกอร์คงรักษาผลการดำเนินงานให้ยืนระยะไปได้ ซึ่งปัจจุบัน บล.โกลเบล็ก เป็นบริษัทที่สร้างรายได้หลักให้กับ GBX

อย่างไรก็ตาม ตามแผนธุรกิจจะพยายามลดสัดส่วนการพึ่งพิงรายได้ค่าธรรมเนียมโบรกเกอร์ลง ซึ่งขณะนี้ได้ปรับลดสัดส่วนรายได้ส่วนนี้เหลือ 40-50% จากเดิมอยู่ที่ 70-80%

“เกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างทรง ๆ วอลุ่มซื้อขายเบาบาง ดังนั้น ธุรกิจโบรกเกอร์จึงต้องปรับตัว ถ้าดูประเทศที่พัฒนาแล้วหรือมุมมองธุรกิจโบรกเกอร์ระดับโลก จะเห็นว่าการพึ่งพิงรายได้ค่าธรรมเนียมอย่างเดียวไม่ใช่โมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน

ซึ่งในปี 2568 นี้ บริษัทคงจะโฟกัสการเพิ่มออปชั่นของโปรดักต์ที่หลากหลายให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น Futures, DW และการต่อท่อให้ลูกค้าไปซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้มากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นอเมริกาและหุ้นจีน”

ดีลไฟลิ่งไอพีโอ 4-5 บริษัท

ในส่วนแผนธุรกิจของบริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด “ธราภุช” กล่าวว่า ปีนี้จะมีดีลรับเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ให้กับบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ตามแผนน่าจะยื่นไฟลิ่งประมาณ 4-5 บริษัท ส่วนใหญ่เป็นบริษัทไซซ์ขนาดกลาง

“คงจะต้องดูเรื่องการตั้งราคา (Pricing) และช่วงเวลา (Timing) ให้ดี ว่าบรรยากาศของตลาดหุ้นไทยช่วงไหนที่มีความเหมาะสม เพื่อไม่ให้นักลงทุนเจ็บตัว และช่วยให้ลูกค้าได้ผลตอบแทนที่ดี”

หุ้นกู้เน้นขายที่มีหลักประกัน

ส่วนการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ปีนี้ตั้งเป้าขนาดวงเงินในการเสนอขาย 6-7 พันล้านบาท โดยจะเพิ่มการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Notes) มากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าทำกำไรในจังหวะขาลงได้ หรือช่วยป้องกันความเสี่ยง (Hedge) ในพอร์ตของลูกค้าเองได้ และจะเลือกและระมัดระวังการขายหุ้นกู้มากขึ้น จากเดิมที่ขายเป็นหุ้นกู้ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Nonrated)

แต่ระยะหลังจะขายหุ้นกู้ที่ผู้ออกหุ้นกู้ต้องวางสินทรัพย์ไว้เป็นหลักประกัน (Collateral) มากขึ้น เพื่อให้นักลงทุนสบายใจและไม่เจ็บตัว เพราะที่ผ่านมาตลาดหุ้นกู้ค่อนข้างตึงตัว สภาพคล่องหายออกไปจากตลาดพอสมควร
แนะแนวทางฟื้นตลาดหุ้นไทย

สำหรับตลาดหุ้นไทย ถ้าจะกลับมาสร้างเสน่ห์ได้ “ธราภุช” กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าต้องเข้มกระบวนการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Corporate Governance) และจัดการเรื่องเคสหรือคดีที่รวดเร็วขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และดึงบริษัท New Economy เข้ามาไอพีโอให้มากขึ้น จากที่ปัจจุบันพึ่งพิงธุรกิจ Old Economy อยู่มาก

เช่น ธนาคาร, พลังงาน เป็นต้น และนโยบายรัฐบาลที่จะปฏิรูปโครงสร้างภาษี โดยเฉพาะการลดภาษีนิติบุคคล ถ้าทำจริงก็เป็นมุมหนึ่งที่จะช่วยบูสต์ตลาดทุนได้บ้าง แต่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด