
คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงิน ผู้เขียน : พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่ แอคชัวรี)
ผมเป็นแอคชัวรีมาก็มากกว่าทศวรรษแล้ว งานที่ทำอยู่ทุกวันก็เป็นการเน้นหนักไปกับเรื่องการทำให้บริษัทรวยขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ทั้งวันนั่งคิดวางแผนทางการเงินหรือประเมินค่าของบริษัทในอนาคตอีก 30 ปี ถึง 50 ปีข้างหน้า (เอาแบบประมาณว่าให้คนทำนั้นล้มหายตายจากกันไปข้างหนึ่ง) เพราะงานของแอคชัวรีจะต้องเชี่ยวชาญด้านการออกแบบ และประเมินเครื่องมือทางการเงินในระยะเวลายาวชั่วคน เลยทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมองอะไรให้ยาว ๆ เพื่อเตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้า
แล้วเมื่อเลือดของแอคชัวรีได้ซึมเข้าสายเลือดอย่างนี้แล้วก็เลยอดไม่ได้ที่จะต้องวางแผนการเงิน (ฉบับแอคชัวรี) ของตัวเอง โดยตัวเอง และเพื่อตัวเอง ผ่านประสบการณ์จากการที่ได้มองเห็นกระแสเงินสดที่ได้ทำการประเมินระยะยาวในสถานการณ์ต่าง ๆ มานาน แล้วมาประยุกต์ใช้เข้ากับชีวิตของแอคชัวรีคนหนึ่ง เพื่อให้มองเห็นตัวตนถ่องแท้ของ “เงิน” ชนิดที่ตัวผมเองก็ยังนึกสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีใครสอนเคล็ดลับอันนี้ให้ผมรู้มาก่อน
ทำไมถึงต้องมีลายแทง
ความรวยก็เปรียบเสมือนกับสมบัติ และการจะหาสมบัติให้เจอได้ก็ควรจะต้องอาศัยลายแทง ไม่เช่นนั้นหาสมบัติไปทั้งชีวิตก็คงจะไม่เจอ ยกเว้นสมบัติจะตกลงมาจากฟ้าเหมือนถูกลอตเตอรี่ ผมว่าเราต้องเริ่มจากการหาลายแทงซะก่อน แล้วทำความเข้าใจพร้อมกับถอดรหัสกับมัน จากนั้นหนทางไปสู่เป้าหมายที่กากบาทไว้ในลายแทงก็คงไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม
ความรวยก็เปรียบเสมือนกับสมบัติ และการจะหาสมบัติให้เจอได้ก็ควรจะต้องอาศัยลายแทง โดยการที่จะรวยได้นั้น จะต้องเริ่มจากการหาลายแทง แล้วทำความเข้าใจพร้อมกับถอดรหัสกับมัน
เริ่มจากพื้นฐานเบื้องต้นก่อน ว่าเงินที่ไหลเข้าหรือออกจากกระเป๋าของเรา เรียกว่า รายได้ (Earning) หรือค่าใช้จ่าย (Expense) ส่วนเวลาที่จะนั่งนับเงินที่เหลืออยู่ในกระเป๋าก็ต้องดูที่สินทรัพย์ (Asset) กับหนี้สิน (Liability) ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่เป็นการง่ายเลยที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่ว่าใครจะมีพื้นฐานทางบัญชีกันมาก่อนหรือไม่ก็ตาม
เน้นจัดการที่รายได้หรือสินทรัพย์ดี
ใช่แล้วครับ ถ้ามัวแต่ไปเน้นผิดจุดก็เหมือนเกาไม่ถูกที่คัน หรือให้ดอกไม้ไม่ตรงใจหญิง ก่อนอื่นก็ต้องปรับเปลี่ยนความเชื่อกับวิธีคิดกันนิดหน่อย ที่ว่าการมีรายได้หรือเงินเดือนเพิ่มขึ้นนั้นจะทำให้รวยได้เสมอไป ซึ่งมันไม่เป็นความจริงครับ
คนเราจะพ้นวัฏสงสารของเงินได้ก็ต่อเมื่อเราใช้ให้เงินมันมาทำงานให้เราเอง ไม่ใช่เราไปทำงานเพื่อเงิน ดังนั้น ถ้าจะให้ถูกต้องก็คือเราต้องตั้งเป้าหมายให้มีสินทรัพย์เพียงพอที่จะออกดอกแตกผลให้ออกมาเป็นรายได้จุนเจือค่าครองชีพในแต่ละวันของเราให้ได้นั่นเอง
ดังนั้น การเน้นที่ตัวสินทรัพย์ให้เพิ่มพูนขึ้นต่างหาก จึงจะเป็นหนทางแห่งการก้าวไปสู่ความรวยได้ การมัวแต่จะคิดทำให้เงินเดือนหรือรายได้ประจำแต่ละเดือนสูงขึ้นนั้นยังเป็นการรักษาไม่ตรงจุด มันอาจจะทำให้รวยได้ก็ต่อเมื่อมันไปเพิ่มพูนสินทรัพย์ที่สามารถงอกเงยรายได้ต่อ ๆ ไปได้ต่างหาก
เป้าหมายหนึ่งเดียวในใจของเราก็คือการปลูกต้นสินทรัพย์ให้โตพอที่จะออกดอกออกผลเก็บกินเองได้
สิ่งที่สำคัญในการปลูกต้นสินทรัพย์ก็คือการที่เราสามารถนำรายได้ไปใช้ได้อย่างฉลาด (ไม่เสียของ) เพื่อเสริมสร้างความรวยให้เรา ลองคิดดูสิครับว่า สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้หรือไม่ แท้ที่จริงแล้วมันกลับนำมาซึ่งการสูญเสียสภาพคล่อง และสูญเสียโอกาสการลงทุนในอนาคตอีกต่างหาก เพราะสินทรัพย์เหล่านี้ไม่สามารถออกดอกออกผลให้เราได้ หนำซ้ำยังมีแต่จะเสื่อมมูลค่าไปต่างหาก
การจะปลูกต้นสินทรัพย์ให้งอกงามได้จึงขึ้นอยู่กับการนำรายได้ และรายจ่ายไปใช้ทำอะไร
การจะปลูกต้นสินทรัพย์ให้งอกงามได้ขึ้นอยู่กับการนำรายได้ และรายจ่ายไปใช้ทำอะไร ว่าการบริหารรายจ่าย และภาษีนั้นเป็นปัจจัยหลักของหลักการนี้ที่มองข้ามไม่ได้ทีเดียว หลายคนคิดว่าถ้าจะรวยขึ้นก็ต้องหารายได้ให้เพิ่มขึ้นใส่กระเป๋าแต่เพียงอย่างเดียว แต่ดันลืมตอนที่มีคนดึงเงินเราออกจากกระเป๋า (หรือเต็มใจให้เขาดึง) ไปอย่างไม่รู้ตัว
วิธีการลดค่าใช้จ่ายกับการบริหารภาษีนั้นก็ง่ายยิ่งกว่าการหารายได้เพิ่มเสียอีก ถ้าจับหลักได้ถูกต้องก็จะมีเงินเหลือไปปลูกต้นสินทรัพย์ได้เร็วขึ้น จำไว้ว่าถ้ารายได้เพิ่มขึ้นก็ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น ซึ่งเราต้องหาทางลดภาษีให้ได้มากที่สุด ส่วนรายจ่ายที่ลดลงได้นั้นมีค่าเท่ากับการเพิ่มรายได้หลังจากหักภาษีเสียด้วยซ้ำ สรุปเป็นความหมายสั้น ๆ ว่า ถ้าเงินเดือนขึ้น 1,000 บาท แล้วต้องเสียภาษี 10 เปอร์เซ็นต์ ก็จะทำให้เหลือเงินเก็บใส่กระเป๋าแค่ 900 บาท แต่ถ้าลดรายจ่ายได้ 1,000 บาท เงินจำนวนนั้นก็จะเข้ากระเป๋าไปเต็ม ๆ เคล็ดลับอันนี้ต้องสอนให้รู้กันตั้งแต่เด็ก
มีทางลัดหรือไม่
สำหรับคนที่ถามว่า แล้วมีวิธีทางลัดอย่างอื่นที่ทำให้รวยได้ไหม แน่นอนครับ ผมก็มีไม้ตายก้นหีบเก็บไว้อยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถใช้ทางลัดได้เสมอไป แน่นอนว่าเป้าหมายเรายังไม่เปลี่ยน เรายังเน้นที่ตัวสินทรัพย์ให้เพิ่มพูนเพื่อเป็นหนทางแห่งการก้าวไปสู่ความรวย ซึ่งในโลกธุรกิจนั้นมีคำหนึ่งที่ใช้กันทั่วไป ที่เขาเรียกกันว่า “การควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition)” เพื่อให้ได้มาซึ่งทั้งสินทรัพย์ และหนี้สินของอีกฝ่ายหนึ่ง
ดังนั้น การประเมินค่าของบริษัทที่ต้องการจะควบจึงมีความสำคัญมาก (ซึ่งนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของงานแอคชัวรี) และด้วยเหตุนี้ การทำควบรวมกิจการ (M&A) ในชีวิตจริง จึงสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่างานที่ทำในบริษัทเลย
อ้อ ! อีกหนทางหนึ่งก็คือ กองมรดก ครับ แล้วถ้าคุณต้องการโอนถ่ายสินทรัพย์ให้กับอีกรุ่นหนึ่ง การประกันชีวิตก็เป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน เนื่องจากทุนประกันที่ได้ไม่โดนหักภาษี (ต่างจากที่ดิน และเงินที่เหลืออยู่ในธนาคาร)
บทสรุป
โดยสรุปแล้ว ก็คือเราต้องสร้างสินทรัพย์ให้โตพอที่สินทรัพย์จะสามารถสร้างรายได้ขึ้นมาเองได้ เพื่อให้ได้มากกว่าค่าดำรงชีพของเรา และยังเหลือพอที่จะนำกลับไปเพิ่มสินทรัพย์ได้ต่อ ๆ ไป นี่ละครับที่ว่าทำไมคนที่รวยยิ่งจะรวยมากขึ้น (ในทางกลับกัน คนจนก็จะมีแต่จนลง ถ้ารายได้นั้นมีน้อยกว่ารายจ่าย แล้วทำให้ไปเพิ่มหนี้สิน ซึ่งบางคนก็ยังไม่รู้ตัว) ความรวยนี้ไม่สามารถบรรลุได้โดยปราศจากเคล็ดลับ และกรอบความคิดที่ถูกต้อง