
เมืองไทยประกันชีวิต ยืนยันไม่ชะลอแผนลงทุนด้านพลังงานสีเขียว แม้ทรัมป์ไม่สนับสนุน ล่าสุด ลงทุน ESG-Green Bond มูลค่าหลายพันล้าน ปี’68 คาดรักษารีเทิร์นพอร์ตที่ 3.5-4% หวั่นเศรษฐกิจโลก-ตลาดทุนยังไม่แน่นอน มั่นใจสามารถรักษาอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันให้เป็นบวกได้
นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต (MTL) เปิดเผยว่า บริษัทคงไม่ชะลอแผนการลงทุนเรื่องพลังงานสีเขียว แม้นโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน จะไม่สนับสนุนเรื่องนี้ เพราะทรัมป์ดำรงตำแหน่งเพียงแค่ 4 ปี แต่โลกใบนี้ยังอยู่ไปอีกนาน

โดยปัจจุบันบริษัทได้มีการลงทุน ESG และ Green Bond มูลค่ากว่าหลายพันล้านบาท โดยปีที่แล้วก็ได้ใช้เงินลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ลงทุนในบอนด์พลัสคาร์บอนเครดิต ที่ออกโดย บมจ.บีซีพีจี (BCPG)
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ตั้งเป้าจะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรง (Scope 1) และทางอ้อม (Scope 2) ภายในปี 2030 และให้เป็น Net Zero ภายในปี 2050 โดย Scope 3 จะเป็นเรื่องยากที่สุด นั่นก็คือเรื่องการลงทุน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีทีมนักวิเคราะห์การลงทุนคอยติดตามบริษัทต่าง ๆ
โดยใช้เรื่อง ESG มาเป็นปัจจัยหนึ่งในการวิเคราะห์เพื่อวัดผลในขั้นแรก และขั้นตอนต่อไปคงต้องดูแต่ละอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบจากเรื่อง Carbon Tax ที่อาจจะส่งผลต่อกระแสเงินสดและการทำกำไรของแต่ละบริษัทนั้น ๆ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนที่มากขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อสิ้นปี 2567 บริษัทมีสินทรัพย์รวมกว่า 640,000 ล้านบาท มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย โดยพอร์ตลงทุนกว่า 80% อยู่ในตราสารหนี้ และประมาณ 13% อยู่ในตลาดหุ้น ส่วนที่เหลือจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และการปล่อยสินเชื่อ โดยปิดปี 2567 พอร์ตลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ระดับ 4% ดีกว่าปี 2566 เพราะหุ้นต่างประเทศให้ผลตอบแทนสูง และบริษัทมีการขายทำกำไรออกมาบ้าง
สำหรับปี 2568 ทิศทางการลงทุนคงจะยากขึ้นเพราะว่าเศรษฐกิจโลกและตลาดทุนโลกยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ดังนั้นจะพยายามรักษาผลตอบแทนจากการลงทุนในกรอบที่ 3.5-4% โดยปีนี้กำลังรอดูว่ารัฐบาลจะออกนโยบายใหม่ ๆ อะไรออกมาอีกบ้าง เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) จากปีที่แล้วที่รัฐบาลออกกองทุนวายุภักษ์และบริษัทก็ได้มีการเข้าไปลงทุน
“เราค่อนข้างให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เพราะเรามี Commitment กับลูกค้าในระยะยาว โดยสิ้นปีที่แล้วบริษัทมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR Ratio) มากกว่า 350% ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดที่ 140% อย่างไรก็ดีค่า CAR ในระดับ 300% ก็ถือว่าอุ่นใจแล้ว และบริษัทยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือและความแข็งแกร่งทางการเงินจาก S&P Global Ratings ที่ระดับ BBB+ (Stable Outlook) และ Fitch Ratings ที่ระดับ A- และ AAA (tha) (Stable Outlook)”
นายสาระกล่าวต่อว่า ด้านผลงานเบี้ยประกันในปี 2568 บริษัทจะรักษาอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตรับรวมให้เป็นบวกต่อไป จากปิดปี 2567 ซึ่งเป็นปีที่ดีมาก โดยบริษัทมีเบี้ยรับรวมแตะ 71,800 ล้านบาท เติบโต 1.76% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน
และมีเบี้ยรับรายใหม่เติบโต 13% ซึ่งเป็นการเติบโตในกลุ่มสินค้าหลัก อาทิ Shield Life (ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ, ประกันชีวิตแบบภายในระยะเวลา, ประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์) เติบโตสูงถึง 42% และแบบประกันคุ้มครองโรคร้ายแรง (รายเดี่ยว) เติบโต 24% โดยช่องทางตัวแทนประกันชีวิตและธนาคารยังเป็นช่องทางขายหลักของบริษัท
“เราปรับพอร์ตสินค้าประกันมาเป็นเวลา 2-3 ปีแล้ว เพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีใหม่ (TFRS17) ที่เริ่มบังคับใช้ไปแล้วเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2568 โดยลดสัดส่วนประกันสะสมทรัพย์ (Endowment) ที่อ่อนไหวกับทิศทางดอกเบี้ยลงไปมาก และเพิ่มสัดส่วนสินค้าความคุ้มครองชีวิต (Protection) แม้ว่าปัจจุบันประกันสะสมทรัพย์ยังเป็นพอร์ตใหญ่อยู่ แต่ไส้ในเป็นสินค้าที่จะเป็นบวกตลอดอายุสัญญา เช่น กลุ่มสินค้าที่มีเงินปันผล, ประกันบำนาญ เป็นต้น และปัจจุบันขยายพอร์ตประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงขยับขึ้นมาเป็นพอร์ตที่มีขนาดใหญ่อันดับที่ 2 แล้วด้วย”
นายสาระกล่าวอีกว่า สำหรับทิศทางตลาดประกันสุขภาพในปีนี้ เชื่อว่ายังมีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นตลาดที่คนเดินเข้ามาซื้อโดยไม่ต้องกระตุ้น จากความตระหนักเรื่องสุขภาพและค่ารักษาพยาบาลที่สูง โดยปีนี้สินค้าประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงยังเป็นสินค้าเรือธงอยู่ โดยมีแบบประกันให้ลูกค้าเลือกทั้งเหมาจ่ายและอะลาคาร์ต รวมถึงโฟกัสการขายประกันชีวิตแบบตลอดชีพและประกันควบการลงทุนด้วย
“ปีนี้นโยบายของบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการตอบโจทย์ผู้เอาประกันแบบเฉพาะตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ซื้อแบบแยกได้ และพยายามเข้าถึงในทุกกลุ่มเซ็กเมนต์ให้ได้ ทั้งในเชิงของฟีเจอร์และราคา และการรับประกันในโลกใหม่ก็จะเปิดกว้างให้ทุกคนเข้าถึงได้แม้จะเป็นโรคอยู่แล้ว”