
ก.ล.ต. กางแผน 3 ปี ฟื้นความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย ลุยเพิ่มกลไกตรวจจับ-ป้องทุจริต ชี้โฟกัสมาตรการป้องปรามมากขึ้น ด้าน “พรอนงค์” ยืนยันดำเนินการโปร่งใส-เอาผิดผู้กระทำผิดในทุกกรณี
ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า แผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ในช่วง 3 ปีจากนี้ (ปี 2568-2570) มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนตลาดทุนไทยทั้งหมด 5 ด้านหลักคือ 1.ตลาดทุนต้องได้รับความเชื่อมั่น (Trust & Confidence) โดยจะเพิ่มกลไกตรวจจับและป้องกันทุจริตและการกระทำไม่เหมาะสมของผู้ระดมทุน (บริษัทจดทะเบียน) ผู้ออกตราสาร และผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน (Gatekeeper) ที่ต้องมีระบบเข้มงวดขึ้นเพื่อปิดโอกาสในการกระทำผิดให้ยากที่สุด

โดยจะมุ่งให้ความสำคัญกับมาตรการป้องปรามที่มากขึ้น และยกระดับการบังคับใช้กฎหมาย (Enforement) โดยยืนยันว่าจะดำเนินการเอาผิดกับผู้กระทำผิดในทุกกรณี และจะดำเนินการด้วยความโปร่งใส
นอกจากนั้นได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อยกระดับศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนภายใต้มาตรการ Corporate value-up program เพื่อสร้างดีมานด์ในตลาดหุ้นไทย และท้ายที่สุดอยากให้กลไกตลาด (Market Force) ทั้งผู้ลงทุนและผู้ร่วมตลาด ช่วยกันใช้ข้อมูลที่มีอยู่เลือกลงทุนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องไปอาศัย Finfluencer
2.ตลาดทุนเป็นแรงขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Technology) โดยจะต้องสร้างอีโคซิสเต็มในการใช้ประโยชน์จากบล็อกเชนและ DLT ไปใช้กับฝั่งหลักทรัพย์ให้ได้เพื่อตอบรับสู่สังสังคมเศรษฐกิจดิจิทัล โดยประโยชน์ที่ได้ชัดเจนคือ นักลงทุนจะไม่มีความยุ่งยากซับซ้อนในการเปลี่ยนเงินออมเป็นเงินลงทุน และท้ายที่สุดการระดมทุนจะกระจายไปหาผู้ที่ต้องการเงินถึงระดับรายย่อยได้มากขึ้น
3.ตลาดทุนเป็นกลไกสู่ความยั่งยืน (Sustainable Capital Market) โดย ก.ล.ต. กำลังจะจัดทำ ISSB Roadmap ซึ่งจะเป็นการเปิดเผลข้อมูลด้าน ESG ตามมาตรฐานสากล และอยากเห็นการเข้าสู่ Net Zero ของประเทศ โดยจะมีการสร้างกลไกการซื้อขายพวกคาร์บอนเครดิตขึ้นมาด้วย ไปจนถึงฝังเรื่องเหล่านี้ไปกับการปฏิบัติหน้าที่ของตัวกลาง
4.ผู้ลงทุนมีสุขภาพทางการเงินที่ดี (Long-term Investment) ซึ่งส่วนนี้เป็นผลลัพธ์ที่ ก.ล.ต.อยากเห็น นั่นคืออยากให้ประชาชนคนไทยได้ประโยชน์จากตลาดทุน ซึ่งที่ผ่านมาจะพูดถึงประโยชน์เชิงสาธารณะ ด้านตัวเลขการเติบโตของประเทศ การมีนักลงทุนจำนวนเพิ่มขึ้น หรือแม้แต่ปริมาณการซื้อขายที่วันนี้พยายามจะให้มีสัดส่วนที่สูงขึ้นในทุกกลุ่มนักลงทุน
แต่ท้ายที่สุดต้องกลับมาโฟกัสการส่งเสริมประชาชนคนไทย โดยเปลี่ยนการออมเป็นการลงทุน เพื่อให้เงินทำงาน ซึ่งจะทำให้คนไทยได้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมในอนาคตจากตลาดทุน โดยผ่านโปรเจ็กต์ Thai Individual Investment Account หรือ TIIA และจะมีเครื่องมือช่วยรายย่อยเข้าถึงการลงทุนมากขึ้น พร้อมทั้งกระตุ้นโดยการเพิ่มจำนวนสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ให้มากขึ้นด้วย
และ 5.ศักยภาพในการดำเนินการตามพันธกิจของ ก.ล.ต. (SEC Excellence) โดย ก.ล.ต. ต้องมีกฎเกณฑ์เข้าใจง่าย ไม่เป็นอุปสรรค โดยมี sup tech มีระบบ Smart Detector และใช้ Data-Driven และใช้เอไอและเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน
“ทั้งหมดนี้เพื่อให้ทุกคนมั่นใจว่าสิ่งที่ ก.ล.ต.กำลังจะขับเคลื่อนไปนั้น หากทุกองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องเอาแผนงานไปสอดรับหรือเสริมกับแผนงานขององค์กรที่กำลังจะมุ่งไป ก็เชื่อว่าจะทำให้ประเทศเรามีตลาดทุนที่ไปตอบโจทย์ และทำให้ประเทศสามารถเดินไปโดยใช้ตลาดทุนไทยและตลาดดิจิทัลไทยเป็นกลไกในการสร้างความสามารถในการแข่งขันได้” เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าว
แต่อย่างไรก็ตามในปีนี้ ตลาดทุนไทยก็ยังคงมีความท้าทายที่ต้องเผชิญคือ 1.ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย เช่น ความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ (Geopolitics) และสงครามการค้า (Trade War) ซึ่งล้วนส่งผลให้ตลาดทุนไทยต้องเร่งปรับตัว
2.ความน่าดึงดูดและความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งวันนี้ตลาดทุนไทยไม่ได้อยู่เพียงผู้เดียวแต่ยังมีการแข่งขันจากตลาดทุนประเทศเกิดใหม่ (EM) และตลาดทุนประเทศพัฒนาแล้ว (DM) ที่ไทยจะต้องสร้างเสน่ห์ไม่ว่าจะเป็นตลาดทุนและตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ที่จะต้องดึงดูดนักลงทุนและผู้ระดมทุนเข้ามาสู่ประเทศไทยให้ได้มากขึ้น 3.ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี 4.ความเชื่อมั่นและมุมมองต่อตลาดทุนไทย 5.กระแสความยั่งยืน และ 6.สังคมผู้สูงวัยและพติกรรมของคนรุ่นใหม่
ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภายในเดือน ก.พ. 2568 กระทรวงการคลังเตรียมเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการเป็นพนักงานสอบสวน โดยทำสำนวนเองและส่งอัยการ ซึ่งจะลดขั้นตอนการดำเนินการและให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ทันการณ์

และเพื่อให้ ก.ล.ต. มีอำนาจสั่งการและดำเนินการในคดีอาญาได้เร็วในกรณีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบในวงกว้าง (High-Impact) โดยจะมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งทำให้การดำเนินคดีผู้กระทำผิดจะรวดเร็วยิ่งขึ้น และช่วยทำให้เกิดความเสียหายลดลง เชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมามากขึ้น
“เชื่อว่าหากลดขั้นตอนตรงนั้นไปได้ จะช่วยให้ ก.ล.ต.ดำเนินคดีได้เร็วขึ้นและเรื่องแต่ละคดีไปสู่ศาลได้เร็วอย่างน้อย 6-7 เดือน ส่วนคำนิยามของเคส High-Impact ทางบอร์ด ก.ล.ต. คงต้องไปหารือเพื่อกำหนดร่วมกันก่อน ทั้งมูลค่าความเสียหาย/จำนวนผู้เสียหาย“ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ประธานกรรมการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวเสริม
เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวอีกว่า การแก้ไขกฎหมายรอบนี้มีด้วยกัน 4-5 ประเด็น โดยสาระสำคัญคือการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ ก.ล.ต. เป็นพนักงานสอบสวน ซึ่งทำให้สำนวนหรือระยะเวลาดำเนินการกระชับมากขึ้น โดยในชั้นสอบสวน ก.ล.ต. จะมีการทำงานร่วมกับตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งจะขึ้นอยู่เคสคดีที่จะเข้าเงื่อนไข
นอกจากนี้จะเพิ่มบทลงโทษจากการกระทำความผิดในการซื้อขาย เช่น ชอร์ตเซล ที่จะดำเนินการไปถึงตัวผู้กระทำผิดที่จะต้องรับโทษทางกฎหมายด้วย และเรื่องอื่น ๆ จะเกี่ยวข้องกับการยกระดับพวก Gatekeeper ที่ปัจจุบันมีข้อจำกัดเรื่องของดำเนินการ เช่น การเอาผิดกับสำนักงานสอบบัญชี, การเข้มงวด FA เป็นต้น