KPI แค่ยอดขายไม่พอ พนักงานไม่เก่ง ธุรกิจไม่รุ่ง

คอลัมน์ : สมาร์ทเอสเอ็มอี
ผู้เขียน : ดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ กรุงศรี SME

เมื่อต้นปีมาถึง หลายธุรกิจมักทบทวนและตั้งเป้าหมายใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ดังนั้น KPI หรือ Key Performance Indicators จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดผลความสำเร็จขององค์กร ส่วนใหญ่มักมุ่งเน้นไปที่ยอดขาย กำไร และการลดต้นทุน เพราะเป็นตัวเลขที่วัดผลได้ชัดเจนและจับต้องได้ง่าย

แต่มีอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่มักถูกมองข้าม นั่นคือ KPI ด้านการเรียนรู้และพัฒนา การที่พนักงานได้รับโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะอยู่เสมอ ไม่ได้เป็นเพียงการส่งเสริมให้บุคคลเติบโตเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับทั้งองค์กร ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดข้อผิดพลาด และทำให้ธุรกิจสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ดีขึ้น

หากธุรกิจมีทีมงานที่หมั่นเรียนรู้และอัพเดตทักษะใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา การดำเนินงานก็จะราบรื่นขึ้น ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากความไม่รู้ก็จะลดลง ทีมงานสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีขึ้น ซึ่งในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว SMEs ไม่สามารถทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ได้ตลอดไป การเรียนรู้จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในทักษะที่กำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้น คือ การใช้ AI ในการทำงาน

หลายคนอาจคิดว่า AI เป็นเรื่องไกลตัวและเหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว SMEs ก็สามารถนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในหลายด้าน เช่น การตลาดที่สามารถใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและวางแผนโฆษณาให้แม่นยำขึ้น

บริการลูกค้าที่สามารถใช้ Chatbot มาช่วยตอบคำถามพื้นฐาน ลดภาระของพนักงานบัญชีและการเงินที่สามารถใช้ AI วิเคราะห์แนวโน้มทางการเงิน และฝ่าย HR ที่สามารถใช้ AI คัดกรองใบสมัครงานและช่วยประเมินศักยภาพพนักงาน เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยให้ธุรกิจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

แม้ว่าการพัฒนาทักษะของพนักงานจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่สำหรับ SMEs นั้นก็ไม่ได้ทำได้ง่ายนัก ปัญหาหลักที่เจ้าของธุรกิจมักเจอคือข้อจำกัดด้านเวลาและทรัพยากร เนื่องจากทีมงานขนาดเล็กมักต้องทำหลายหน้าที่พร้อมกัน ทำให้ไม่มีเวลาว่างสำหรับการเรียนรู้เพิ่มเติม

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ ต้นทุนในการพัฒนาพนักงานก็เป็นอุปสรรคสำคัญ เพราะการส่งพนักงานไปอบรมหรือเข้าคอร์สเรียนมักมีค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งทัศนคติของพนักงานเองก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผล บางคนอาจมองว่าการเรียนรู้เป็นภาระเพิ่ม หรือคิดว่าทักษะใหม่ ๆ ไม่มีความจำเป็นต่อการทำงานของตนเอง

และสุดท้ายคือความยากในการวัดผล ต่างจาก KPI ที่เกี่ยวข้องกับยอดขายหรือกำไร การวัดผลด้านการเรียนรู้เป็นเรื่องที่จับต้องได้ยาก ธุรกิจจึงมักไม่มั่นใจว่าการลงทุนในจุดนี้จะให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าหรือไม่

ADVERTISMENT

แต่แม้จะมีอุปสรรค SMEs ก็สามารถพัฒนาพนักงานได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณสูงเสมอไป การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในที่ทำงานเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี องค์กรไม่จำเป็นต้องจัดอบรมขนาดใหญ่ แต่สามารถส่งเสริมให้พนักงานแชร์ความรู้กันเอง จัดประชุมเพื่ออัพเดตแนวโน้มตลาด หรือเปิดโอกาสให้พนักงานได้ทดลองสิ่งใหม่ ๆ โดยไม่ต้องกลัวความล้มเหลว

อีกแนวทางที่ช่วยลดต้นทุนได้คือการใช้เทคโนโลยี ธุรกิจสามารถเลือกใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีทั้งฟรีและเสียค่าใช้จ่าย เช่น SkillLane หรือแม้แต่ YouTube ซึ่งช่วยให้พนักงานเรียนรู้ได้ตามเวลาที่สะดวก

การตั้ง KPI ที่วัดผลได้จริงก็เป็นอีกเรื่องสำคัญ SMEs ควรเลือกใช้ตัวชี้วัดที่สามารถสะท้อนถึงผลลัพธ์ เช่น จำนวนชั่วโมงที่พนักงานใช้ในการเรียนรู้ อัตราการเข้าร่วมอบรม หรือการนำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในการทำงาน

นอกจากนี้ ธุรกิจควรเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการพัฒนาตัวเอง โดยให้พวกเขาเลือกเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจ และสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วน เช่น ค่าเรียนออนไลน์ หรือค่าหนังสือ เพื่อกระตุ้นให้พนักงานมีแรงจูงใจในการเรียนรู้

อย่างไรก็ตามการพัฒนาพนักงานจะไม่มีความหมาย หากพวกเขาไม่ได้มีโอกาสนำความรู้ไปใช้จริง SMEs ควรเปิดโอกาสให้พนักงานทดลองนำทักษะใหม่ ๆ มาปรับใช้กับงาน เช่น ให้พนักงานที่เรียนรู้เรื่อง AI ทดลองใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับงาน หรือให้พนักงานที่เรียนเรื่องการตลาดดิจิทัลได้ลองจัดแคมเปญใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขามีความมั่นใจและเห็นคุณค่าของการเรียนรู้มากขึ้น

แม้ว่า SMEs จะต้องเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาพนักงาน แต่หากมีการวางแผนที่ดี ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ และสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ธุรกิจก็สามารถพัฒนาบุคลากรได้โดยไม่กระทบกับการดำเนินงาน การลงทุนในการพัฒนาคนเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด เมื่อพนักงานมีศักยภาพที่ดีขึ้น ธุรกิจก็จะดำเนินไปอย่างแข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และเติบโตได้อย่างยั่งยืน