
ราคาทองคำทำออลไทม์ไฮ ตลาดจับตา PCE สหรัฐ
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการณ์เคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 27-31 มกราคม 2568 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (21/1) ที่ระดับ 33.62/64 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (24/1) ที่ระดับ 33.59/61 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ช่วงต้นสัปดาห์ ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 28-29 มกราคม ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของปี 2568 รวมทั้งจับตาถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด โดยคาดว่าการแสดงความเห็นของพาวเวลล์อาจจะบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้
ทั้งนี้ เครืองมือ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 100% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมสัปดาห์นี้ และจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้เร็วขึ้นเป็นเดือนพฤษภาคม ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนกันยายน หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ กดดันให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม World Economic Forum (WEF) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติเป็นเอกฉันให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4.25%-4.50% ในการปะชุมเมื่อวันพุธ (29/1) ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
โดยแถลงการณ์ของเฟดระบุว่า อัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และภาวะตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ส่วนอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง โดยพาวเวลล์ได้จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหลังเสร็จสิ้นนโยบายการเงินว่า เฟดไม่รีบร้อนในการเปลี่ยนแปลงแนวทางนโยบายการเงินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง
ส่วนในเรื่องเงินเฟ้อนั้น พาวเวลล์กล่าวว่าเฟดยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% และเมื่อพูดถึงแผนการของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ที่จะทำการทบทวนกรอบนโยบายการเงินครั้งใหม่ในปีนี้ พาวเวลล์กล่าวว่า เป้าหมายเงินเฟ้อของเฟดที่ระดับ 2% จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจในปลายสัปดาห์กำหนดมีรายงานตัวเลขเงินเฟ้อดัชนีราคา PCE และ Core PCE เดือนธันวาคม 2567
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ในวันจันทร์ (27/1) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะสามารถขยายตัวได้เกิน 3% เนื่องจากมีโครงการขนาดใหญ่ที่เข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ไปถึงต้นปีหน้า และจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศได้อย่างต่อเนื่องด้วย
นายพิชัยกล่าวอีกว่า รัฐบาลยังเดินหน้าเร่งรัด ทั้งการลงทุนภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการจ้างงาน รวมทั้งจะการขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ ออกมาเป็นระยะ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะในช่วงรอยต่อรอการลงทุน ในวันอังคาร (28/1) ค่าเงินบาทและสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาคเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน จากการฟื้นตัวของดอลลาร์ และทองคำ ทำให้มีแรงซื้อกลับของดอลลาร์ ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงแตะระดับ 33.90 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นกอนการประชุมเฟด และเคลื่อนไหวแข็งค่าอยู่ในกรอบช่วงปลายสัปดาห์ โดยได้รับแรงหนุนจากราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ได้ (New All-Time High) ในวันศุกร์ (31/1) ท่ามกลางความต้องการถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยรับมือความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 โดยระหว่างสัปดาห์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 33.55-33.97 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (31/1) ที่ระดับ 33.66/68 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับปัจจัยในภูมิภาค สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันจันทร์ (27/1) ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนมกราคมลดลงสู่ระดับ 49.1จากระดับ 50.1 ในเดือนธันวาคม โดยดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนอยู่ในภาวะหดตัว โดยนักลงทุนคาดหวังว่ารัฐบาลจีนจะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ผ่านภาคการบริโภคและใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น รวมถึงเพื่อช่วยลดความเสี่ยง (TRADE WAR) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีน (PBoC) ได้ประกาศว่าได้ฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินในปริมาณที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ผ่านเครื่องมือใหม่ในเดือนมกราคม เนื่องจากให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของหยวนเป็นอันดับแรก โดย PBoC ได้ดำเนินการทำข้อตกลงซื้อคืนแบบตรง (Outright Reverse Repurchase Agreements) มูลค่า 1.7 ล้านล้านหยวน (2.34 แสนล้านเหรียญสหรัฐ) โดยใช้สัญญา 3 เดือนและ 6 เดือนเพื่อรักษาสภาพคล่องให้เพียงพอ ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีน
สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดวันจันทร์ (27/1) ที่ระดับ 1.0477/79 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (17/1) ที่ระดับ 1.0495/96 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจ สำนักงานสถิติเยอรมนี (Destatis) รายงานในวันพฤหัสบดีว่า (30/1) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเยอรมนีในไตรมาส 4 ของปี 2567 ปรับตัวลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ลดลงหนักกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 0.1%
ขณะที่ทางธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ สู่ระดับ 2.75% และเปิดโอกาสสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซานั้นมีมากกว่าความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0375-1.0532 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (31/1) ที่ระดับ 1.090/92 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดวันจันทร์ (27/1) ที่ระดับ 155.37/39 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (17/1) ที่ระดับ 155.65/67 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ นายมาโกโตะ ซากุราอิ อดีตสมาชิกคณะกรรมการของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยในวันอังคาร (28/1) ว่า BOJ มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงเดือนมิถุนายน หรือกรกฎาคม และอาจตั้งเป้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแตะ 1.5% เป็นอย่างน้อยภายใน 2 ปีข้างหน้า
โดยซากุราอิ ซึ่งยังคงมีการติดต่อใกล้ชิดกับผู้กำหนดนโยบายของ BOJ ในปัจจุบันระบุว่า การขึ้นค่าจ้างอย่างต่อเนื่อง ความเป็นไปได้ของราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของญี่ปุ่น ทำให้ BOJ มีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง เขากล่าวเพิ่มเติมว่า BOJ อาจเลื่อนเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งถัดไปเป็นเดือนเมษายน หากต้องการดำเนินการก่อนความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศจะเพิ่มขึ้นก่อนการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาที่น่าจะเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม
ทั้งนี้ BOJ จะประชุมกำหนดนโยบายครั้งถัดไปในวันที่ 18-19 มีนาคม และครั้งถัดไปอีกในวันที่ 30 เมษายน-1 พฤษภาคม ซึ่งจะมีการเปิดเผยการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อรายไตรมาสฉบับใหม่ ทั้งนี้ในช่วงระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 153.71-156.24 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (31/1) ที่ระดับ 154.70/75 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ