ธปท.สกัดแอปปล่อยเงินกู้เถื่อน เตรียมส่งข้อมูลให้ดีอีต้นสัปดาห์หน้า

ธปท.สกัดแอปปล่อยเงินกู้เถื่อน

ธปท.เผยเตรียมส่งข้อมูล 11 แอปฯ เข้าข่ายผิดกฎหมายปล่อยกู้ดอกเบี้ยเกิน 15% ให้กระทรวงดีอีภายในต้นสัปดาห์หน้า ชี้มีเพียง 1 แอปฯ ได้รับอนุมัติไลเซนส์ถูกต้อง พร้อมแจ้งปิดระบบแอปฯ และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

นางสาวพีรจิต ปัทมสูต ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายคุ้มครอง และตรวจสอบบริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากกรณีสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ตรวจพบติดตั้งแอปพลิเคชั่น “เงินกู้” เถื่อนอีก 11 แอปพลิเคชั่นที่อยู่บน Play Store ร้านค้าแอปฯ ออนไลน์ของระบบปฏิบัติการมือถือ Google Android

พีรจิต ปัทมสูต
พีรจิต ปัทมสูต

ทั้งนี้ สคส.ได้ส่งข้อมูลมายัง ธปท.ให้ดำเนินการตรวจสอบว่าเป็นแอปพลิเคชั่นที่ผิดกฎหมายหรือไม่นั้น เพื่อส่งให้กระทรวงดีอีดำเนินการต่อไป เนื่องจากกระทรวงดีอีไม่สามารถแจ้งปิดแอปพลิเคชั่นได้ทันที เพราะต้องให้ ธปท.มีการแจ้งความ เป็นผู้ร้องเรียน และประสานไปยัง Google เพื่อสั่งปิดแอปพลิเคชั่นดังกล่าว

ล่าสุด ธปท.ได้มีการตรวจสอบข้อมูล พบว่าในจำนวนแอปพลิเคชั่นทั้ง 11 ราย มีแอปพลิเคชั่น 10 ราย ที่ไม่ได้รับอนุมัติจาก ธปท.ในการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล แต่อีก 1 ราย ได้รับการอนุมัติจาก ธปท.ให้ดำเนินธุรกิจจริง โดยภายในต้นสัปดาห์หน้า (วันที่ 3-7 กุมภาพันธ์ 2568) ธปท.จะมีการส่งรายละเอียดและข้อมูลแอปพลิเคชั่น พร้อมข้อความทางกฎหมายไปยังกระทรวงดีอีเพื่อให้ดำเนินการต่อไป

สำหรับขั้นตอนกระบวนการขออนุมัติการทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของ ธปท. โดยหลักเกณฑ์ผู้ประกอบธุรกิจที่สนใจจะต้องเข้ามาขอใบอนุญาต (License) กับ ธปท.ก่อน และ ธปท.จะมีการส่งเรื่องไปยังกระทรวงการคลังเพื่ออนุมัติต่อไป เนื่องจากกระทรวงการคลังเป็นผู้ประกาศและให้ใบอนุญาต และหลังจากนั้นภายใน 7 วัน ธปท.จะมีการนำเอาข้อมูลบริษัทหรือผู้ประกอบการลงในฐานข้อมูล ซึ่งประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ให้บริการได้ผ่านเว็บไซต์ ธปท.

อย่างไรก็ดี รูปแบบการให้บริการปล่อยสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชั่นที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ 1.ผู้ประกอบธุรกิจที่ปล่อยสินเชื่อจริง แต่เป็นสินเชื่อนอกระบบ ที่มีการคิดอัตราดอกเบี้ยเกิน 15% ต่อปี ซึ่งเกินกฎหมายกำหนด และ 2.มิจฉาชีพที่ปลอมเป็นแอปพลิเคชั่น เพื่อมาหลอกเอาข้อมูลของผู้เสียหายและประชาชน เพื่อนำไปทำธุรกรรม อาทิ หลอกลงทุน หรือกระบวนการคอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น

ADVERTISMENT

ดังนั้น การดำเนินคดีจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ขั้นตอน คือ 1.การสั่งปิดหรือการเอาแอปพลิเคชั่นลง เนื่องจากการให้สินเชื่อผิดหลักพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 ที่กำหนดให้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่มิใช่สถาบันการเงิน เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 15% ต่อปี และ 2.การเอาผิดตามกฎหมาย ซึ่งการดำเนินคดีจะต้องมีผู้เสียหาย อย่างไรก็ดี การดำเนินคดีจะถือว่าผิดตามกฎหมายอาญา ซึ่งมีโทษทั้งจำและปรับ

“โดยต้นสัปดาห์หน้าเราจะมีการส่งข้อมูลรายละเอียดให้กระทรวงดีอี เพื่อเอาแอปฯ ลงก่อน เพื่อป้องกันความเสียหายก่อน เพราะกระทรวงดีอีไม่สามารถแจ้งปิดแอปฯ ได้ แต่ต้องรอให้ทาง ธปท.เป็นผู้ร้องเรียน เพราะมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย“

ADVERTISMENT