
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จับมือสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หนุนลูกค้าลงทุนในไทย-อาเซียน หลังหนุนลูกค้าลงทุนในไทยกว่า 450 บริษัท เม็ดเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท คาดปี’70 เห็น FDI ในภูมิภาคสูง 3.12 แสนล้านดอลลาร์ เผยเจาะ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย
นายแซม ชอง กรรมการผู้จัดการ, Head of Foreign Direct Investment Advisory Unit ธนาคารยูโอบี เปิดเผยว่า ล่าสุด ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เพื่อสนับสนุนการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ผ่านเครือข่ายธนาคารยูโอบี ที่ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 2563 ธนาคารได้ให้คำปรึกษาและสนับสนุนลูกค้าธนาคารในการลงทุนในประเทศไทยไปแล้ว 450 บริษัท จำนวนเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท สร้างการจ้างงานกว่า 3.1 หมื่นตำแหน่ง และหากคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนในภูมิภาคอาเซียนอยู่ที่ 5 หมื่นล้านสิงคโปร์ หรือจำนวน 5,000 บริษัท
อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมที่เห็นการลงทุนในประเทศไทย จะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งจะโฟกัสมากขึ้น เนื่องจากจะมีการปรับจากรถยนต์ EV ไปสู่ AD ยานยนต์ไร้คนขับ ถือเป็นอุตสาหกรรมในอนาคต รวมถึงอุตสาหกรรมชีวภาพและสีเขียว โดยธนาคารพร้อมจะสนับสนุนลูกค้า ทั้งข้อมูลในการตัดสินใจในการลงทุน ภายใต้เครือข่ายพันธมิตรของธนาคารที่มีอยู่ทั่วภูมิภาค และการสนับสนุนโชลูชั่นทางการเงิน
โดบในปี 2570 ธนาคารคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลงทุนในภูมิภาคอาเซียนราว 3.12 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่อยู่ 2.26 แสนล้านดอลลาร์
“ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยหนุนเม็ดเงินลงทุน FDI ในไทยและภูมิภาคมีมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างงาน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และทำให้นักลงทุนกล้าตัดสินใจในการลงทุนมากขึ้น โดยธนาคารยูโอบีจะเป็นมากกว่าธนาคาร หรือ Beyond Banking”
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า การร่วมมือกับธนาคารยูโอบี สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการขับเคลื่อนเป้าหมายทางเศรษฐกิจของไทย การดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธนาคารยูโอบีในประเทศไทย และเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับนักลงทุนที่มีศักยภาพ

นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้จะช่วยเสริมความสามารถของ สกพอ.ในการเสนอโซลูชั่นทางการเงินแบบครบวงจร ไม่เพียงแต่สำหรับโครงการในประเทศเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับฐานลูกค้าที่หลากหลายและขยายตัวเพิ่มขึ้นของธนาคารยูโอบี โดยทั้ง 2 องค์กรมุ่งมั่นดึงดูดการลงทุนมูลค่าสูงที่ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างโอกาสให้กับชุมชนในประเทศไทย
โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการลงทุนให้ราบรื่นยิ่งขึ้น ยกระดับความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ และส่งเสริมอุตสาหกรรมหลักตามกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย อันได้แก่ ยานยนต์ยุคใหม่ การแพทย์และสุขภาพ ดิจิทัลและนวัตกรรม รวมถึงเศรษฐกิจสีเขียวและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา กลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ โครงสร้างพื้นฐานระดับโลก และนโยบายที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ ความร่วมมือนี้จะช่วยเสริมสร้างปัจจัยบวกให้ประเทศไทย โดยนักลงทุนจะได้รับบริการธนาคารที่ราบรื่นไร้รอยต่อ คำแนะนำด้านการลงทุนที่ครอบคลุมทุกมิติ และการเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ เป็นต้น
“เราเห็นสัญญาณการลงทุนในปี’68-69 ในกลุ่มดิจิทัล ดาต้าเซ็นเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์ โดยมองว่าในช่วง 1-2 ปีนี้ไทยจะต้องพยายามดึงดูดเม็ดเงินลงทุนให้ได้ เพราะหลังจากนี้อาจจะรอไปอีกนาน”