เอเซีย พลัส ชี้หุ้นไทยราคาถูก แต่ขาดแรงขับเคลื่อน มองเป้า SET ปีนี้ 1,520 จุด

บล. เอเซีย พลัส มองหุ้นไทยปัจจุบันราคาถูก แต่ขาดแรงขับเคลื่อน ชี้ Trade war มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแรง คาดเป้า SET มีโอกาสแตะ 1,520 จุด แต่อาจยืนได้ไม่ถาวร แนะกลุ่มธนาคารยังเด่นน่าลงทุนในปีนี้

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันข้อดีคือมีความถูก แต่อาจจะปรับตัวขึ้นได้ช้าเพราะเม็ดเงินที่เข้าไปสนับสนุนมีไม่มากพอ ขณะที่ประเด็น Trade war มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแรงและเป็นสาเหตุทำให้หุ้นปรับลดลงในวันนี้ ซึ่งมีนัยสำคัญพอสมควร หากดูโครงสร้างเศรษฐกิจในไทย ในยุคทรัมป์ 1.0 ประเทศไทยพึ่งพิงภาคการส่งออกประมาณ 70-75% และผ่านมาในยุคทรัมป์ 2.0 ประเทศไทยยังพึ่งพิงภาคการส่งออกประมาณ 70% เท่าเดิม

โดยสหรัฐเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าจาก จีน เม็กซิโก และแคนนาดาแล้ว ซึ่งถัดมาเป้าคือกลุ่มประเทศ BRICS และอาเซียน โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2568 ในยุคทรัมป์ 2.0 มี Downisde 0.4-0.6% โดยในส่วนของประเทศไทยคาดการณ์ว่าหากถูกผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 คาด GDP ปีนี้จะโตได้เพียง 2.6%

“Trade war กระทบตลาดหุ้นไทยได้ 2 มุม คือ 1. หากไทยถูกตั้งกำแพงภาษีสินค้า จะทำให้ส่งออกได้น้อยลง ซึ่งเศรษฐกิจไทยพึ่งพิงการส่งออกถึง 70% ต่อ GDP 2.ประเทศจีนถูกตั้งกำแพงภาษี สินค้าส่งออกของจีนที่สูงก็จะมาดั้มตลาดภูมิภาครวมถึงประเทศไทยด้วย“

ทั้งนี้มองจุดสูงสุดของเป้า SET ปีนี้ยังมีโอกาสขึ้นไปแตะที่ 1,520 จุดได้ แต่อาจจะไม่ยืนได้ถาวร เนื่องจากยังกังวลความไม่ต่อเนื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 68 โดยเฉพาะไตรมาส 3/68 ที่เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐอาจจะขาดช่วง และอาจจะมีประเด็นเรื่องสงครามการค้าที่อาจส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทย อย่างไรก็ตามมองว่าแนวรับสำคัญของหุ้นไทยที่ 1,270 จุดน่าจะเป็นแนวรับสำคัญและไม่น่าต่ำไปมากกว่านี้

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มองกลุ่มหุ้นธนาคาร ยังน่าสนใจโดยมองว่ามี อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (Price to Book Value) ยังต่ำ เฉลี่ยประมาณ 0.6-0.7 เท่า มีกำไรต่อเนื่อง 10 ปีย้อนหลัง มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลกว่า 5-7% และอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นในกระแส นอกจากนี้มองว่าดอกเบี้ยของไทยอาจจะปรับลงประมาณ 1 ครั้งในช่วงปลายปี 2568

ADVERTISMENT