ดอลลาร์แข็งค่า ตลาดกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของ Trump 2.0

ธนบัตร U.S.dollar banknotes
REUTERS/Dado Ruvic/Illustration/File Photo

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ตลาดเริ่มกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 หลังลงนามคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าทั้งจากเม็กซิโก แคนาดา รวมถึงจีน ขณะที่ทั้ง 3 ประเทศเตรียมตอบโต้

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (03/02) ที่ระดับ 34.04/05 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (31/01) ที่ระดับ 33.67/68 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จากดัชนีดอลลาร์ที่ปรับตัวสูงขึ้นสู่ที่ระดับ 109.68 ในเช้าวันนี้

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือน ธ.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขของนักวิเคราะห์ หลังจากปรับตัวขึ้น 2.4% ในเดือน พ.ย.

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (01/02) โดยกำหนดให้เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 10% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันอังคาร (04/02) ตามเวลาสหรัฐ

โดยนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดาประกาศว่าจะตอบโต้สหรัฐด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตรา 25% ครอบคลุมตั้งแต่เครื่องดื่มไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่เม็กซิโกประกาศว่าจะตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐเช่นกัน ส่วนรัฐบาลจีนประกาศว่าจะยื่นคำร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อคัดค้านมาตรการดังกล่าวของสหรัฐ

และทรัมป์ได้เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซประมาณวันที่ 18 ก.พ. แต่ไม่ได้ระบุประเทศเป้าหมายหรือให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนการดังกล่าว

ADVERTISMENT

ด้านปัจจัยภายในประเทศ กระทวงพาณิชย์ ได้สรุปภาพรวมเศรษฐกิจการค้าการลงทุน ตลอดทั้งปี 2567 โดยสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) รายงานตัวเลขการส่งออก ตลอดทั้งปี 2567 (ม.ค.-ธ.ค.) ว่าการส่งออกมีมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ (10.5 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 5.4% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1-2% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ การนำเข้า มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ (10.8 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 6.3% ขาดดุลการค้า 6,280.4 ล้านดอลลาร์ (มูลค่า 3.5 แสนล้านบาท)

ส่วนปี 2568 ตั้งเป้าการส่งออกไว้ที่ 2-3% มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงในระดับปัจจุบัน แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ การย้ายฐานการผลิตมายังกลุ่มประเทศอาเซียน รวมถึงไทยมากขึ้น และการเร่งส่งเสริมการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยเชื่อมโยงเข้ากับสินค้าส่งออกเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้เป็นที่จดจำในระดับโลก

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ ในระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวกรอบระหว่าง 33.97-34.15 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 34.03/05 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (03/02) ที่ระดับ .0229/30 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (31/01) ที่ระดับ 1.0379/80 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ประกาศมาตรการขึ้นภาษีนำเข้ากับเม็กซิโก แคนาดา และจีน ทั้งยังขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับสหภาพยุโรป (EU) และสหราชอาณาจักร

ขณะที่ในระหว่างวัน ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวกรอบระหว่าง 1.0212-1.0251 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0247/48 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (03/02) ที่ระดับ 155.78/80 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (31.01) ที่ระดับ 154.72/73 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือน ม.ค.ของญี่ปุ่นปรับตัวลดลงสู่ระดับ 48.7 ซึ่งลดลงจากตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ระดับ 48.8 และชะลอตัวลงจากระดับ 49.6 ในเดือน ธ.ค.

ทั้งนี้ ดัชนี PMI ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งขี้ว่าภาคการผลิตอยู่ในภาวะหดตัว และเป็นการหดตัวลงติดต่อกันเดือนที่ 7 แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแออย่างต่อเนื่อง ในภาคส่วนนี้ ส่วนดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 20 ขณะที่ความเชื่อมั่นในภาคยานยนต์และเซมิคอนดักเตอร์อ่อนแออย่างมาก และดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในกลุ่มผู้ผลิตและชะลอตัวลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2566

นอกจากนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานสรุปความคิดเห็น (Summary of Opinions) ของกรรมการ BOJ โดยระบุว่า ในการประชุมเมื่อวันที่ 23-24 ม.ค.ที่ผ่านมา การอภิปรายดังกล่าวของกรรมการ BOJ สะท้อนให้เห็นว่า มีโอกาสเพิ่มขึ้นที่ BOJ จะยังคงเดินหน้าผลักดันอัตราดอกเบี้ยให้ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสู่ระดับ 0.5% ในการประชุมวันที่ 23-24 ม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปีแล้วก็ตาม

ในรายงานยังแสดงให้เห็นด้วยว่า กรรมการ BOJ หลายคนระบุถึงแรงกดดันด้านราคาที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูงกว่าเป้าหมายเนื่องจากต้นทุนการนำเข้าปรับตัวสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากเงินเยนที่อ่อนค่าได้กระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ ปรับขึ้นราคาสินค้า ขณะที่กรรมการอีกคนหนึ่งเรียกร้องให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อป้องกันไม่ให้เงินเยนอ่อนค่าลงอีก และเพื่อป้องกันไม่ให้กิจกรรมด้านการเงินมีความร้อนแรงมากเกินไป

ทั้งนี้ ระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 155.32-155.65 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 155.32/34 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือน ม.ค. (S&P Global (03/02), ดัชนีภาคการผลิตเดือน ม.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) (03/02), การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือน ธ.ค. (03/02), ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือน ธ.ค. (04/02)ม ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือน ธค. (0402), ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือน ม.ค. จาก ADP (05/02), ยอดนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าเดือน ธ.ค. (05/02),

ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือน ม.ค. จาก S&P Global (05/02), ดัชนีภาคบริการเดือน ม.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) (05/02), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน (06/02), ผลิตภาพ-ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยในไตรมาส 4/2567 (ประมาณการเบื้องต้น) (06/02), ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ม.ค. (07/02), ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือน ก.พ. จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (07/02)

สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -5.7/-5.6 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -4.3/-2.2 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ