
ดอลลาร์อ่อนค่า จับตาการเจรจากำแพงภาษีสหรัฐ
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ (05/02) ที่ระดับ 33.64/65 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (04/02) ที่ระดับ 33.82/83 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ดอลลาร์อ่อนค่าเทียบสกุลเงินหลัก ประกอบกับการที่ราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ทะลุ ระดับ 2,840 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์
ทางด้านตัวเลขทางเศรษฐกิจ สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่าตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลง 556,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.6 ล้านตำแหน่งในเดือน ธ.ค. จากระดับ 8.156 ล้านตำแหน่งในเดือน พ.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.0 ล้านตำแหน่ง
อีกทั้งกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐลดลง 0.9% ในเดือน ธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 0.7% หลังจากลดลง 0.8% ในเดือน พ.ย. โดยคำสั่งซื้อภาคโรงงานที่ปรับลดลงได้รับผลกระทบจากการลดลง 45.7% ของคำสั่งซื้อเครื่องบินเป็นหลัก
ในส่วนมาตรการทางภาษีนั้น ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐในอัตรา 15% และเรียกเก็บภาษีนำเข้าน้ำมันดิบ อุปกรณ์ด้านการเกษตร และรถยนต์บางประเภท ในอัตรา 10% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. เพื่อตอบโต้ต่อการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งเรียกเก็บภาษีต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10%
นอกจากนี้จีนยังมีการเรียกร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) ว่าการขึ้นภาษีของสหรัฐนั้นสร้างความผันผวนให้กับอุปสงค์และอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก
ด้านปัจจัยภายในประเทศนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการดิจิทัลวอลเลตเฟส 3 โดยยืนยันว่า การโอนเงินในเฟสที่ 3 จะดำเนินการได้ภายในไตรมาส 2/68 อย่างแน่นอน ซึ่งขณะนี้กรอบการดำเนินโครงการมีความชัดเจนแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการเชื่อมโยงระบบในลักษณะ Open Loop ที่ได้หารือกับสถาบันการเงินและดำเนินการไปแล้ว โดยตัวระบบน่าจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ขณะนี้อยู่ในช่วงของการทดสอบ ในวันนี้ (05/02) ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวจำกัด เนื่องจากการกีดกันทางการค้าที่รุนแรง และทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) จะเติบโตได้ราว 2.4-2.9% ส่วนมูลค่าการส่งออก ขยายตัว 1.5-2.5% และอัตราเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น 0.8-1.2%
อย่างไรก็ตาม นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธาน กกร. เผยสถานการณ์สงครามการค้าจะส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าไทยในระยะสั้น เพราะจะช่วยให้สามารถไปแข่งขันกับสินค้าที่ผลิตในแคนาดาและเม็กซิโกที่มีราคาสูงขึ้นจากการที่สหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้า โดยในวันนี้การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอยู่ในกรอบระหว่าง 33.61-33.76 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 33.61/62 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวเปิดตลาดเช้านี้ (05/02) ที่ระดับ 1.0376/77 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (04/02) ที่ระดับ 1.0341/43 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยในวันนี้ (05.02) เอสแอนด์พี โกลบอล มีการรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (PMI) ในยูโรโซน ซึ่งปรับตัวลงจากระดับ 51.4 ในเดือน ธ.ค. มาอยู่ที่ระดับ 51.3 ในเดือน ม.ค. โดยหลัก ๆ ตลาดยังจับตารอดูตัวเลข ดัชนีราคาผู้ผลิตที่จะเปิดเผยในเย็นวันนี้ (05/02) ทั้งนี้ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0368-1.0417 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโน และปิดตลาดที่ระดับ 1.0411/13 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวเปิดตลาดเช้าวันนี้ (05/02) ที่ระดับ 153.64/65 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (04/02) ที่ระดับ 155.30/31 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยในวันอังคาร (05/02) เอสแอนด์พี โกลบอล มีการเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นจาก Au Jibun Bank ปรับขึ้นจากระดับ 50.9 ในเดือน ธ.ค. มาอยู่ที่ 53.0 ในเดือน ม.ค. ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย.ปีที่แล้ว
อีกทั้งกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นได้มีการรายงานรายได้เฉลี่ยในรูปแบบเงินสด (05/02) ที่มีการปรับตัวขึ้นจากเดือน ธ.ค.ที่ระดับ 3.9% มาอยู่ที่ 4.8% ในเดือน ม.ค.
แต่อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ราคาสินค้าและบริการกลับเพิ่มขึ้นเร็วกว่าค่าจ้าง โดยในปี 2567 เพิ่มขึ้น 3.2% แม้จะชะลอตัวลงจากปี 2566 ที่เพิ่มขึ้น 3.8% ในส่วนของด้านการส่งออก ยอดที่เพิ่มขึ้นช่วยสนับสนุนอุปสงค์โดยรวมของเดือน ม.ค.
โดยธุรกิจส่งออกใหม่กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน และมีความแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค.ปีที่แล้ว อันเป็นผลจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั่วภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้การเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนอยู่ในกรอบระหว่าง 152.84-154.46 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 152.88/89 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ของสหรัฐ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือน ม.ค. จากสถาบัน ADP (05/02), ยอดนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าเดือน ธ.ค. (05/02), ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือน ม.ค. จาก S&P Global (05/02), ดัชนีภาคบริการเดือน ม.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานโดยสถาบัน ISM (05/02), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน (06/02), ผลิตภาพ-ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยในไตรมาส 4/2567 (ประมาณการเบื้องต้น) (06/02), ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ม.ค. (07/02), ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือน ก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (07/02)
สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -5.65/-5.6 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -6.25/-5 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ