
สมาคมเช่าซื้อ ประเมินสินเชื่อรถยนต์ปี 2568 ทรงตัวหรือหดตัวเล็กน้อย หลังยอดขายปี 67 หดตัวในรอบ 2 ทศวรรษ เหลืออยู่ที่ 5.7 แสนคัน ยอดสินเชื่อหดตัว 8.5% แนะรัฐลดภาษีซื้อรถใหม่ ระยะเวลา 5 ปี ชี้ช่วยกระตุ้นดีมานด์-มาตรการตรงจุดไม่หว่านแห เน้นเติบโตยั่งยืน
นายธีรชาติ จิรจรัสพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยและหัวหน้าคณะทำงานกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ภายใต้สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ในปี 2568 ประมินว่า ตลาดสินเชื่อรถยนต์มีแนวโน้มอยู่ในระดับทรงตัวหรือหดตัวเล็กน้อยแต่ยังมีโอกาสเติบโตในแดนบวก หากปัจจัยลบคลี่คลายลงและได้รับแรงหนุนนโยบายส่งเสริมตลาดรถยนต์ในประเทศไทย
โดยก่อนหน้านี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินยอดสินเชื่อเช่าซื้อรวม ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2567 หดตัวลงถึง 8.5% เมื่อเทียบกับยอดคงค้างสิ้นปี 2566 “การหดตัวนี้เป็นการหดตัวลงแรงที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ ตั้งแต่การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์เข้ามาประกอบธุรกิจให้สินเชื่อเช่าซื้อในช่วงปี 2547 ซึ่งสอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ลงมาที่ระดับ 5.7 แสนคัน ต่ำที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษเช่นกัน
นายธีรชาติ กล่าวเพิ่มเติม ยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศในปี 2567 ลดลงอย่างมากลงมาที่ระดับ 572,568 คัน ซึ่งลดลงถึง 26.19% และในปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่ายอดขายอยู่ที่ 5.3 แสนคัน ในขณะที่ความเห็นของกลุ่มผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ มองโอกาสยอดขายในตลาดรถยนต์ใหม่อาจจะขยับขึ้นไปอยู่ในกรอบ 6.0 แสนคัน
– กลุ่มที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 คือกลุ่มรถยนต์ไฮบริด ซึ่งค่ายรถญี่ปุ่นเริ่มปรับ Product line ให้ครอบคลุมเป็นมาตรฐาน และค่ายรถจีน เริ่มมีการนำเข้าหรือเตรียมการผลิตรถยนต์ไฮบริดมากขึ้น
– ด้านตลาดรถยนต์สันดาปมีแนวโน้มหดตัวลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ขณะที่ตลาดรถกระบะ (Pick-up) ซึ่งมียอดขายลดรุนแรงถึง 39% ในปี 2567 แต่ในปี 2568 ไม่น่าจะลงลึกต่อไปอีกและอาจมีโอกาสกลับมากระเตื้องขึ้นเล็กน้อย จากสัญญาณเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ ด้านการลงทุนและการใช้จ่ายของภาครัฐที่กลับมาในแดนบวกจากก่อนหน้านี้ในปี 2566 ติดลบมากทั้ง 2 ตัว อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อรถยนต์ก็ยังมีทางเลือกจากตลาดรถยนต์ใช้แล้วอีกทางด้วย
– สำหรับตลาดรถไฟฟ้าประเภท BEV แม้ว่าในปี 2567 ยอดขายจะต่ำกว่าที่ผู้ขายรถยนต์เคยคาดการณ์ไว้ เหลือเพียงประมาณ 70,000 คัน หรือหดตัวลงประมาณ 5% แต่ในปี 2568 น่าจะเติบโตไปที่ระดับ 1 แสนคันได้
นายธีรชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดเซ็กเมนต์นี้มีมุมมองที่แตกต่างกัน 2 ด้าน ด้านหนึ่ง มองว่ายอดขายที่กระเตื้องขึ้นในช่วงท้ายของปี 2567 มาจากสงครามราคา และหากไม่มีการลดราคา ยอดขายรถ BEV จะไม่ได้เพิ่มขึ้นเพราะผู้ซื้อรอเทคโนโลยีใหม่และรอการลดราคา
ในขณะที่ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์มองว่า การทยอยเปิดตัวของรถยนต์ BEV รุ่นใหม่จะเป็นโอกาสกระตุ้นการตัดสินใจซื้อสำหรับกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ วิเคราะห์จากพฤติกรรมการซื้อรถยนต์ในช่วง Motor Expo 2024 ที่ผ่านมาจะมีกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อที่ดีกว่าเข้ามาขอสินเชื่อ พิจารณาจากการวางเงินดาวน์ที่สูงขึ้นความสามารถในการผ่อนชำระที่ดีกว่า คือสามารถผ่อนในระยะเวลาเช่าซื้อที่สั้นกว่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ และมีอัตราการได้รับการอนุมัติสินเชื่อที่สูงขึ้น
สำหรับตลาดรถยนต์ใช้แล้ว (รถมือสอง) ราคารถยนต์มือสองน่าจะกลับสู่สภาวะที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นจากช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ที่ได้รับผลกระทบหลัก 2 ด้าน คือ 1.จากคุณภาพหนี้ของสินเชื่อรถยนต์ที่แย่ลงมากภายหลังมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ช่วงสถานการณ์โควิด-19 จบลง ทำให้เกิด Supply ของรถยึดเข้าสู่ลานประมูลจำนวนมาก
และ 2.การปรับลดราคารถยนต์ของผู้ผลิตฯเพื่อเคลียร์สต๊อก โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า แต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เริ่มเห็นทั้งสัญญาณการทรงตัวของจำนวนรถยึดเข้าสู่ลานประมูลและราคารถยนต์ใช้แล้วที่มีเสถียรภาพมากขึ้นในไตรมาสสุดท้าย
สำหรับคุณภาพสินเชื่อนั้น นายธีรชาติ กล่าวว่า ตั้งแต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ออกหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending – RL) เมื่อ 1 ม.ค. 2567 คุณภาพหนี้ของการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อจำนวนรถยึดเข้าลานประมูลที่ไม่มากเช่น 2-3 ปีก่อน
และล่าสุดมาตรการ “คุณสู้เราช่วย” ก็น่าจะมีส่วนช่วยคุณภาพหนี้ตรงนี้ด้วย แต่อาจจะไม่สูงเท่าระดับที่คาดหวังไว้ โดยพบว่ามีลูกค้าเข้ามาลงทะเบียนพอสมควร แต่ลูกค้าที่ลงทะเบียนนั้นมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์เพียงประมาณครึ่งหนึ่ง ส่วนที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ เช่น ไม่ได้เป็นลูกค้าที่มีสัญญาสินเชื่อเกิดก่อน 1 ม.ค. 2567 หรือไม่ได้มีสถานะบัญชีคงค้าง วันที่ 31 ต.ค. 2567 เป็นต้น
ในแง่การแข่งขันของตลาดสินเชื่อรถยนต์นั้น สถานการณ์ปัจจุบัน การเติบโตของพอร์ตสินเชื่อมีข้อจำกัด แต่สถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อจะไม่แข่งเรื่องลดอัตราดอกเบี้ยหรือจ่ายค่าคอมมิชชั่นที่สูง เพราะสถาบันการเงินอยู่ในช่วงที่ต้องปรับตัวจากปัจจัยหลัก 5 ด้าน ได้แก่
1. ด้านเศรษฐกิจและกำลังซื้อส่งผลต่อปริมาณยอดขายรถยนต์ 2. ระดับของหนี้ครัวเรือนและปัญหาคุณภาพหนี้ 3. อัตราดอกเบี้ยหรือต้นทุนดอกเบี้ยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นมาสูงมากจากดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้นจาก 0.50% เป็น 2.50% ก่อนจะมีการปรับลดลง 0.25% ในช่วงปลายปี 2567 ซึ่งดอกเบี้ยขาขึ้นส่งผลกระทบต่อธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ที่ไม่สามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยกับลูกค้าที่ผ่อนชำระอยู่ได้ และยังมีข้อจำกัดต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยกับลูกค้าใหม่ในสถานการณ์ที่ยอดขายรถยนต์หดตัวรุนแรง
ทำให้อัตราส่วนต่างดอกเบี้ยแคบลง เมื่อประกอบกับปัญหาคุณภาพหนี้จึงส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อในปีที่ผ่านมามาก
4. ข้อจำกัดทางด้านรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลงอันเป็นผลต่อเนื่องมาจากหลักเกณฑ์ด้านการกำกับหลายด้าน และ 5. เสถียรภาพของราคารถยนต์ ซึ่งส่งผลกลับมาที่ด้านคุณภาพหนี้และกำลังซื้อรถยนต์ด้วย เพราะเมื่อไหร่ที่ราคาของรถยนต์มือสองไม่ดีจะทำให้ลูกหนี้ที่ผ่อนค่างวดไม่ไหวอาจไม่มีทางเลือกในการขายรถยนต์ ไม่ว่าจะขายโอนสิทธิหรือขายดาวน์จนทำให้เกิดเป็นหนี้เสีย เสถียรภาพราคารถยนต์มือสองช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 เริ่มทรงตัวจากก่อนหน้า
แต่หากรถยนต์ไฟฟ้ายังแข่งขันสงครามราคาต่อไป ปัญหานี้ก็จะยังเป็นวังวนไม่รู้จบ แต่ถ้ารถยนต์มือสองราคาดี ก็จะผลักดันให้ผู้ใช้รถยนต์สามารถที่จะตัดสินใจเปลี่ยนรถหรือซื้อรถยนต์ใหม่ได้ง่ายขึ้น
ทั้งหมดนี้ หากปัจจัยที่กล่าวมามีแนวโน้มที่สามารถคลี่คลายจนทำให้ตลาดรถยนต์และสินเชื่อรถยนต์หลุดจากวังวนปัญหาเหล่านี้ สถาบันการเงินจะกลับมาปล่อยสินเชื่อได้ดีขึ้น เช่น ถ้าต้นทุนทางการเงินปรับตัวลดลง แต่ไม่มีการแข่งขันกันลดอัตราดอกเบี้ยหรือเพิ่มค่าคอมมิชชั่นอย่างรุนแรงเหมือนช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ จะทำให้สถาบันการเงินมีส่วนต่างดอกเบี้ยเพียงพอและไม่ไปกระตุ้นการก่อหนี้เกินควร
ถ้าเสถียรภาพราคารถยนต์ดีขึ้นก็จะส่งผลต่อคุณภาพหนี้ และกำลังซื้อในการเปลี่ยนรถยนต์ดังที่กล่าว ถ้าเกณฑ์ RL และมาตรการคุณสู้เราช่วย ดำเนินไปจนปัญหาคุณภาพหนี้คลี่คลายก็จะมีจำนวนรถยึดลดลง ซึ่งทุกปัจจัยที่กล่าวมานั้นมีความสัมพันธ์ส่งผลต่อเนื่องกัน และหากมีมาตรการกระตุ้นตลาดรถยนต์ที่เหมาะสม ก็จะยิ่งช่วยส่งเสริมตลาดรถยนต์และสินเชื่อรถยนต์ในภาพรวม
ต่อข้อถามว่าจะมีมาตรการช่วยได้หรือไม่นั้น นายธีรชาติ กล่าวว่า ตอนนี้มาตรการที่ “เหมาะสม” ต้องแก้ปัญหาให้ถูกจุดและทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินหน้าได้ แต่ไม่ควรทำในลักษณะกระตุ้นยอดขายด้วยการหว่านแหชั่วคราว ซึ่งจะส่งผลเสียโดยรวมต่อทั้งระบบ ทั้งรายได้ภาครัฐและความยั่งยืนของผู้ขายรถยนต์ ที่สำคัญไม่ควรไปกระตุ้นคนที่ไม่มีกำลังซื้อหรือไม่พร้อมก่อหนี้ เพราะจะยิ่งเพิ่มปัญหาหนี้เสียและแก้ไขกันไม่จบ
โดยส่วนตัวมองว่ามาตรการกระตุ้นที่ดีน่าจะเป็นมาตรการส่งเสริมยอดขายรถยนต์ภายในประเทศได้ในระยะยาว เช่น มาตรการให้ผู้ซื้อรถยนต์สามารถนำค่างวดผ่อนชำระมาหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ ในลักษณะเดียวกับที่นิติบุคคลสามารถนำรถยนต์ลงบัญชีและหักค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่ายหรือหักค่าเช่าลีสซิ่งเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้
ตัวอย่างเช่น หากซื้อรถยนต์รวมราคาประมาณ 1,000,000 บาท โดยมีการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อทั้งปีประมาณ 200,000 บาท ในระยะเวลา 5 ปี และหากผู้ซื้อรถยนต์เสียภาษีเงินได้ในฐานภาษี 10% มูลค่าของภาษีที่ได้ลดหย่อนจะอยู่ที่ประมาณปีละ 20,000 บาท รวม 5 ปี ประมาณ 100,000 บาท
แนวทางนี้น่าจะส่งผลดีโดยรวมต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม คือ
1. ผู้ซื้อรถยนต์ที่สามารถนำค่างวดมาหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ นั่นหมายความว่า ผู้ซื้อรถยนต์เป็นผู้มีความพร้อม มีโอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อมากกว่า ซึ่งแนวทางนำค่างวดหักค่าใช้จ่ายทางภาษีจึงเป็นหลักการที่เหมาะสม ดีกว่าการลดภาษีแบบเหวี่ยงแหเป็นการทั่วไป ซึ่งอาจจะเป็นการเพิ่มจำนวนคนที่ไม่มีความพร้อมในการก่อหนี้
2. สามารถกำหนดให้สิทธิแก่กลุ่มรถยนต์ที่ต้องการมุ่งเน้นสนับสนุน เช่นกลุ่มที่สามารถส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโดยรวม supply chain ภายในประเทศ
3. กำหนดกรอบเวลาให้นำค่างวดหักค่าใช้จ่ายทางภาษี เช่น จากตัวอย่างตั้งต้นที่เป็นเวลา 5 ปี เท่ากับว่าส่วนลดหย่อนในปีแรก 20,000 บาท การทยอยหักภาษีดังกล่าวจะไม่เป็นภาระเกินไปกับรัฐบาลในปีแรก แต่การกระตุ้นดีมานด์ซื้อจะเกิดขึ้นได้ในปีแรก และอาจสามารถพิจารณาเป็นโครงการระยะยาวก็ได้