
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP กางแผนปี’68 สินเชื่อทรงตัว 0-2% ชี้ ปล่อยกู้ระมัดระวัง-เลือกกลุ่มโต “บ้าน-โรงแรม” หลังเจอผลกระทบอุตสาหกรรมรถยนต์ กดสินเชื่อเช่าซื้อหดตัว 2 หลัก ทำผลประกอบการไม่ดีเป็นปีที่ 2 เดินหน้าลดต้นทุนการเงิน-ค่าใช้จ่าย ลุยเพิ่มค่าธรรมเนียม หวังช่วยชดเชยรายได้ดอกเบี้ยลดลง-หนุนกำไรสุทธิเป็นบวก เผยซื้อหุ้นคืนมีกรอบและกำหนดเกณฑ์ชัดเจน
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก และระดับหนี้ครัวเรือนของไทยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้การเติบโตธุรกิจยังเป็นไปด้วยความระมัดระวัง ซึ่งในปี 2568 ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตสินเชื่อทรงตัวอยู่ที่ 0-2% จากปี 2567 สินเชื่อหดตัว -8% โดยธนาคารจะมุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพ และมีความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลัก เพื่อสร้างพอร์ตสินเชื่อให้มีเสถียรภาพ ซึ่งอาจส่งผลให้ขนาดของพอร์ตสินเชื่อและรายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจสินเชื่อลดลงในระยะสั้น
ทั้งนี้ คาดว่าสินเชื่อที่ยังขยายตัวได้ดี จะเป็นสินเชื่อที่หลักประกันเสื่อมค่าน้อย เช่น สินเชื่อรายใหญ่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) บางเช็กเตอร์ที่ยังไปได้ เช่น โรงแรม ที่ปัจจุบันมีพอร์ตอยู่ราว 2 หมื่นล้านบาท จะขยายการเติบโตมากขึ้น เพราะได้รับอานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยว หรือกลุ่มอสังหารริมทรัพย์บางกลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อยและขยายตัวได้ดี
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ภาพรวมสินเชื่อลดลงและรายได้ดอกเบี้ยลดลง จึงต้องหันมาเน้นการสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ เพื่อช่วยชดเชยด้วยรายได้ดอกเบี้ยที่หายไป โดยเป็นตัวกลางในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) อย่างไรก็ดี การชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่หายไปอาจจะทำได้ยาก ทำให้ธนาคารต้องบริหารจัดการค่าใช้จ่ายควบคู่ ทั้งต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนการดำเนินการ และต้นทุนทางด้านเครดิต เพื่อให้ท้ายที่สุดช่วยให้กำไรสุทธิในปี 2568 ออกมาเป็นบวกได้
สำหรับรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยนั้น ในส่วนของตลาดทุนยังคงตกต่ำต่อเนื่อง ซึ่งธนาคารได้มีแนวทางลดการพึ่งพิงตลาดในประเทศมานานแล้ว จึงทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี ขณะที่ ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth) ยังคงมีการเติบโตได้ดีโดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUA) และ (AUM) รวมเกินกว่า 1 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเติบโตเป็น 2 หลักได้ในปีนี้ และธุรกิจส่วนอื่น ๆ ก็อยู่ในระดับทรง ๆ ตัว พร้อมจะเน้นการนำ Digital เข้ามาช่วยในเรื่องการบริหารจัดการด้านต้นทุนด้วย
โดยเป้าหมายทางธุรกิจในปี 2568 ธนาคารตั้งเป้าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 4.8-4.9% สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) อยู่ที่ 4.1-4.3% และต้นทุนเครดิต (Credit Cost) ที่ 2.20-2.40% และมีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROEA) 9.0-10% จากปีก่อนที่ 8.4% “ผลประกอบการที่ออกมาปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่ไม่ดี เป็นผลมาจากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ไม่ดีมากระทบสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งทำให้เกิดหนี้เสียและราคารถมือสองที่ลดลง ทำให้ขาดทุนรถยึด แต่ปีนี้น่าจะดีขึ้น เพราะเราระมัดระวังตั้งแต่ปีก่อน ทำให้คุณภาพสินเชื่อในปี’67 ดีขึ้น และของใหม่ที่ปล่อยในปี’66-67 ไม่เยอะ
ซึ่งปีนี้เราคาดว่าสินเชื่อเช่าซื้อก็ยังคงหดตัวใกล้เคียงกับปีก่อน ทำให้การสำรองหนี้สงสัยจะสูญปรับลดลงตามคุณภาพหนี้ที่ดีขึ้น ดังนั้น ในปีนี้สำหรับภาพรวมธุรกิจของเรา ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่จะมีความเสียงเพิ่มเติมจากต่างประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้น ในปีนี้เราจึงยังคงปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังต่อเนื่อง”
นายอภินันท์กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการซื้อหุ้นคืนของธนาคารนั้น ตอนนี้ธนาคารได้ซื้อหุ้นคืนครบตามจำนวนเรียบร้อยแล้ว พร้อมเตรียมแจ้งรายละเอียดกรณีดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อีกครั้ง ส่วนวัตถุประสงค์การซื้อหุ้นคืน เพื่อลดต้นทุนธนาคารไม่ได้ตั้งใจขายคืน อย่างไรก็ดี ส่วนจะซื้อหุ้นคืนรอบใหม่นั้น จะต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์และระยะเวลาที่กำหนดไว้ชัดเจน ทั้งช่วงระยะเวลา การเว้นวรรคในการทำธุรกรรมรอบใหม่ ขณะเดียวกัน จำนวนการซื้อหุ้นคืนจะต้องไม่เกินกำไรในแต่ละงวดด้วย