จับตาฮอตมันนี่เก็งกำไรหลังบาทอ่อน กรุงไทยคาดไตรมาสสามทะลุ33บาท/ดอลล์

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักวิเคราะห์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันที่ 15 มิถุยายน เปิดตลาดอ่อนค่าแรงจากที่ 32.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 0.60% จากปิดตลาดสิ้นวันก่อน โดยเป็นการอ่อนค่าในทิศทางเดียวกับภูมิภาค และอ่อนค่าเป็นลำดับที่ 2 ในภูมิภาค รองจากเกาหลีใต้ที่อ่อนค่า 0.89% และอินเดียเป็นลำดับที่ 3 อ่อนค่า 0.46%

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมต้นสัปดาห์ และเฟดจะปรับดอกเบี้ยขึ้นอีก 2 ครั้ง รวมเป็น 4 ครั้งในปีนี้ ขณะที่การประชุมธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) มีแผนจะปรับวงเงินมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน(คิวอี) ลงมาที่ 1.5 หมื่นล้านยูโรจากปัจจุบัน 3.0 หมื่นล้านยูโร ในเดือนกันยายน และได้ปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจของยุโรปลงมาที่ 2.1% จากเดิม 2.4% ขณะที่เงินเฟ้อยังเพิ่มขึ้นเป็น 1.7% จากเดิม 1.4% และปัจจัยสำคัญคือสงครามทางการค้าที่ตึงเครียดเพราะสหรัฐจะประกาศรายชื่อสินค้าจีนที่จะขึ้นภาษี 25% ในวันนี้ ขณะที่จีนก็ระบุว่าจะมีมาตรการตอบโต้

“วันนี้ยูโรอ่อนค่าชัดเจน ทำให้ค่าเงินสกุลอื่นอ่อนค่าด้วย ซึ่งเมื่อค่าเงินบาทอ่อน จะมีแรงขายพันธบัตรออก คาดว่าวันนี้จะมีการขายพันธบัตรออกราว 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงราว 1% แต่ถือว่าเป็นสถานการณ์ปกติของตลาด อย่างไรก็ดี แนวโน้มในอนาคตอาจจะมีแรงขายพันธบัตรไทยต่อ หากบาทยังอ่อนค่า เพราะเงินที่ไหลเข้ามาในพันธบัตรไทยก่อนหน้านี้เป็นฮอตมันนี่ส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีถึงระดับแสนล้านบาท กลุ่มนี้เข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์อยู่แล้ว ขณะที่เงินลงทุนจริงที่เข้ามาในตลาดเกิดใหม่ความน่าสนใจลดลงเพราะประเทศเกิดใหม่อัตราการขยายตัวชะลอลง และค่าเงินอ่อนซึ่งทำให้ความน่าสนใจลงทุนลดลง” นายจิติพลกล่าว

นายจิติพล กล่าวว่า ธนาคารคาดว่าช่วงไตรมาสที่ 3 มีโอกาสที่ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าไปมากสุดที่ 33.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากปัจจัยราคาน้ำมันจะกลับมาเป็นแรงกดดัน ทำให้การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยลดลง การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอีกครั้งในเดือนกันยายน จะทำให้มีเงินทุนไหลออกในตลาดพันธบัตร อย่างไรก็ตาม คาดว่าสิ้นปีค่าเงินบาทจะอยู่ในระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ สัปดาห์ห้าต้องติดตาม การประชุมนโยบายการเงิน(กนง.) ว่าจะมีการส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยนโยบายไทยอย่างไร หลังจากที่เงินเฟ้อแตะระดับ 1.50% แล้ว และค่าบาทที่อ่อนค่าลง รวมทั้งติดตามการประชุมธนาคารกลางอังกฤษที่คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย 0.50% และการประชุมธนาคารกลางฟิลิปปินส์ที่คาดจะมีการปรับดอกเบี้ยขึ้นจาก 3.25% เป็น 3.50%

ที่มา:มติชนออนไลน์