
แค่เริ่มต้นปี 2568 ก็เรียกได้ว่า เต็มไปด้วยความผันผวน โดยเฉพาะในตลาดเงินตลาดทุน ที่ทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากการกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ การดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า ทำให้ราคาสินทรัพย์เกือบทุกประเภทผันผวนจนแทบจะเป็นรายวัน จึงมีคำถามว่านักลงทุนจะลงทุนอย่างไรดีในช่วงที่เต็มไปด้วยความผันผวนเช่นนี้
เตือนระวังลงทุนหุ้น 7 นางฟ้า
“ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา กล่าวว่า การลงทุนในช่วงนี้ มี 3 ประเด็นหลักที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา อย่างแรก คือ การเกิดขึ้นมาของ deepseek ซึ่งจะมีผลทำให้ AI จากต้นน้ำมียอดการสั่งจองชิปลดลง และส่งผลให้หุ้นเทคโนโลยี หรือ AI Infrastructure ต้นน้ำ อาจจะถูกดาวน์เกรด และอาจจะกระทบกับหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้าบางตัว
“แค่มุมนี้มุมเดียว กลุ่มหุ้น 7 นางฟ้าที่เคยแบกตลาดมา 3-4 ปีก่อนหน้านี้ จากนี้ไปอาจจะไม่สามารถแบกตลาดได้แล้ว ดังนั้น แนะนำให้ระมัดระวังหุ้นกลุ่มนี้ โดยต้องเลือกตัวที่อยู่กลางน้ำถึงปลายน้ำ ส่วนต้นน้ำอย่าง Nvidia, Microsoft อาจจะมีปัญหา เพราะทุ่มทุนลงไปกับ AI ค่อนข้างเยอะ ขณะที่ Meta ราคาหุ้นยัง All Time High เพราะยังใช้เป็น Open Source ในการพัฒนา AI ที่คล้ายกับ deepseek ตลาดจึงยังให้ความหวังอยู่”
ตราสารหนี้สหรัฐยังน่าสนใจ
ต่อมาเป็นประเด็นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แม้ว่าช่วงแรกจะมีการคงอัตราดอกเบี้ย แต่สิ่งที่ตลาดให้น้ำหนักค่อนข้างมาก คือการที่ประธานเฟดได้กล่าวว่า นโยบายการค้าที่เปลี่ยนไปในยุคของทรัมป์ ทำให้คาดการณ์นโยบายเงินเฟ้อในตลาดได้ยาก จึงขอดูทิศทางก่อน ดังนั้นจึงทำให้ตลาดมองว่าดอกเบี้ยปีนี้น่าจะลด 2 ครั้ง ซึ่งเป็นการคาดการณ์ที่น้อยมาก หากเทียบกับปีที่ผ่านมาว่าจะลดถึง 4-5 ครั้ง ปัจจัยดังกล่าวจึงส่งผลทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) สูงขึ้น
“ตราสารหนี้ ยังซื้อได้เพราะบอนด์ยีลด์ยังสูงอยู่ และหากถือเป็นสกุลดอลลาร์จะได้ประโยชน์หากดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จากประเด็นที่เฟดชะลอลดดอกเบี้ย”
ลดน้ำหนักหุ้นยุโรป-เวียดนาม
ประเด็นสุดท้าย คือการขึ้นรับตำแหน่งของทรัมป์ สิ่งที่ตลาดให้ความสำคัญคือนโยบายที่ได้กล่าวแล้วทำจริง อย่างการขึ้นภาษี 3 ประเทศ คือ จีน แคนาดา และเม็กซิโก และถัดมาคือสหภาพยุโรป จึงแนะนำหลีกเลี่ยงหรือลดน้ำหนัการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป เพราะเป็นความเสี่ยงระยะถัดไป นอกจากนี้ เวียดนาม ที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐเป็นอันดับ 4 ของโลก ดังนั้น ตลาดหุ้นเวียดนามก็ควรเฝ้าระวัง
“ส่วนไทยที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐ=อาจจะค้าขายกับสหรัฐลำบากขึ้น หากทรัมป์ใช้ภาษีในวงกว้าง ขณะที่จีนหากโดนตั้งกำแพงภาษี สินค้าต่าง ๆ อาจจะดัมพ์สินค้าเข้ามาไทยเพิ่มขึ้น มองว่า หุ้นไทยบริเวณ 1,280-1,290 จุด ยังไม่ใช่จุดต่ำสุด และน่าจะหลุดลงได้อีก”
หุ้นสหรัฐเด่นสุด-จีนไม่แย่
ตลาดหุ้นที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุด จากนโยบาย America First ก็คือ ตลาดหุ้นสหรัฐ ทั้งกลุ่มสื่อสาร กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่ม Healthcare และหุ้นขนาดเล็ก ถัดมาคือ ตลาดหุ้นจีนก็ยังน่าสนใจ แม้ถูกตั้งกำแพงภาษีจากสหรัฐ แต่จีนมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเตรียมลดดอกเบี้ย โดยกลุ่มที่น่าสนใจ คือ หุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็ก
“การเกิดขึ้นของ deepseek เป็นการทำให้เทคจีนตื่นตัวมากขึ้น นอกจากนี้ยังราคาถูกกว่าหุ้นสหรัฐที่เป็นกลุ่มเดียวกัน ส่วนที่น่าสนใจสุดท้าย คือ ตลาดหุ้นอินเดีย เพราะไม่ถูกกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ”
ทองพุ่งแรงแนะมีติดพอร์ต
“ชยนนท์” กล่าวอีกว่า อีกสินทรัพย์ที่ควรมีติดพอร์ตไว้ ก็คือ ทองคำ แนะนำมีได้ประมาณ 10-15% ของพอร์ต โดยครึ่งปีแรกมองเป้าราคาทองอาจแตะ 3,020 ดอลลาร์ ส่วนคริปโตเคอร์เรนซี ที่เหมือนทรัมป์จะซัพพอร์ต แต่หลังจากพิธีสาบานตนจนถึงปัจจุบันทรัมป์ยังไม่ได้โฟกัสที่คริปโตมากนัก ทำให้บิตคอยน์ไม่วิ่งต่อ กลยุทธ์จึงเป็น Wait and See หากทรัมป์มีนโยบายเมื่อไหร่ บิตคอยน์น่าจะมีแรงวิ่งได้
ทิสโก้แนะ 2 ธีมเด่น
“สาห์รัช ชัฏสุวรรณ” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ กล่าวว่า ปี 2568 มีธีมกองทุนรวมที่โดดเด่น 2 ธีม ได้แก่ 1.ธีมที่ได้ประโยชน์จากนโยบาย 2.0 ของทรัมป์ ได้แก่ กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในธุรกิจ AI ของสหรัฐ กองทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ และกองทุนหุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐ และ 2.ธีมกองทุนที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นช้ากว่าตลาด (Laggard Play) ในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย กองทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็กของสหรัฐ กองทุนหุ้นเอเชีย และกองทุนหุ้นเวียดนาม
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นจีนเป็นอีกตลาดที่น่าจับตา เพราะราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเริ่มเห็นผล แต่ยอมรับว่าความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จีนได้เผชิญในปีที่ผ่านมาก็ยังคงอยู่ และยังมีความเสี่ยงจากนโยบายของทรัมป์เข้ามาเพิ่มในปีนี้
เล็งออกทริกเกอร์ฟันด์หุ้นไทย
ส่วนตลาดหุ้นไทยในปี 2568 บลจ.ทิสโก้คาดว่า ดัชนีจะปิดปีที่ 1,530 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปี 2567 แม้ในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่เป็นการเติบโตในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กระจุกตัวอยู่เฉพาะบางอุตสาหกรรมเท่านั้น เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก พลังงาน อาหาร และซอฟต์แวร์ ซึ่งไม่ได้เป็นการเติบโตในวงกว้าง จึงยังไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่อุตสาหกรรมที่มีแรงงานจำนวนมากนั้นยังไม่เติบโตดีเท่าที่ควร
“จากหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลง เรากำลังหาจังหวะดีที่จะออกกองทุนทริกเกอร์หุ้นไทย คาดว่าจะจัดตั้งกองทุนใหม่เร็ว ๆ นี้”
จัดพอร์ตตามความเสี่ยงที่รับได้
ด้าน “บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง กล่าวว่า การจัดพอร์ตในปีนี้ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยมาก แนะนำลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 70% กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 30%
ขณะที่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก แนะนำลงทุนกองทุนหุ้นต่างประเทศ 65% กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 25% กองทุนหุ้นไทย และกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างละ 5% และนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากที่สุด แนะนำกองทุนหุ้นต่างประเทศ 80% กองทุนหุ้นไทย และกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างละ 10%
เพิ่มน้ำหนัก “หุ้นสหรัฐ-ทองคำ”
“พจน์ หะริณสุต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันปรับลดลงค่อนข้างมาก โดยมีมูลค่าราคาต่ำกว่ามูลค่า 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมองว่าเป็นจุดที่น่าลงทุน ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นได้นั้น ต้องติดตามนโยบายของภาครัฐที่กระตุ้นให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) มีกำไรที่เพิ่มขึ้น โดยมองว่าดัชนี SET ปีนี้น่าจะสามารถแตะ 1,530 จุดได้ หาก P/E ขึ้นไปสู่ค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ประมาณ 15 เท่า
ทั้งนี้ การจัดพอร์ตการลงทุนในปีนี้ แนะนำหุ้นเติบโตที่คุณภาพดี โดยมองว่าหุ้นสหรัฐยังน่าลงทุน จากนโยบายของทรัมป์ที่จะสนับสนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตได้ ขณะที่บอนด์ยีลด์ที่ปรับขึ้นมาสูง เช่น บอนด์ยีลด์สหรัฐเด้งขึ้นมาประมาณ 5% อาจจะเป็นจังหวะที่เข้าไปสะสมพันธบัตรได้ รวมถึงการกระจายการลงทุนผ่านกองทุน Spot Bitcoin ETF 2 กองทุนขึ้นไป โดยหากนโยบายทรัมป์ หรือนโยบายต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มหันมาใช้สินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น จะทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลเติบโตได้
“ถ้าจะจัดพอร์ตในปีนี้ เรามองว่าหุ้นสหรัฐ ทองคำ ยังไงก็ต้องเพิ่มน้ำหนักการลงทุน และการที่ทรัมป์ตั้ง อีลอน มัสก์ เข้ามานั้น EV, AI รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลจะยังโดดเด่น”