โบรกฯแนะ ‘ขาย’ หุ้น DELTA บริษัทปรับลดเป้าโตปี’68 เสี่ยงคดีฟ้องร้องในสหรัฐ

DELTA

บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะ “ขาย” หุ้น DELTA ชี้การเติบโตของกำไรลดลง เผชิญภาวะแข่งขันในอุตสาหกรรม AI ที่รุนแรงขึ้น ทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทถูก De-rate valuation ปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 72 บาท ประชุมเช้านี้ “โทนลบ” บริษัทปรับลดเป้าการเติบโตของ AI และ EV ลง และยังมีความเสี่ยงจากคดีที่ถูกคู่แข่งในสหรัฐฟ้องร้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA) เปิดตลาดหุ้นไทยภาคเช้าวันนี้ (17 ก.พ. 2568) ดิ่งติดฟลอร์ที่ราคา 79.25 บาท ติดลบ 33.75 บาท หรือ -29.8% เทียบจากราคาวันก่อนหน้าที่ 113 บาท โดยสาเหตุสำคัญคือถูกกดดันจากกำไรไตรมาส 4/2567 ที่ประกาศออกมาต่ำกว่าคาด

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 14 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา DELTA ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 4/2567 เหลือเพียง 2.15 พันล้านบาท ลดลง 64% จากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) และลดลง 54% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาดถึง 60% (เราคาดไว้ 5.4 พันล้านบาท) โดยมีรายการพิเศษจำนวนมาก ตามที่ DELTA ชี้แจงรวม 3 พันล้านบาท ได้แก่

  1. FX loss ในต้นทุนขาย 13.3 ล้านเหรียญ (หรือ 452 ล้านบาท)
  2. FX loss จากการ hedging และการเปลี่ยนแปลงใน balance sheet 329 ล้านบาท
  3. รายได้ชดเชยจากการผิดสัญญาของลูกค้า 436 ล้านบาท
  4. การให้ Rebate (การส่งเสริมการขาย) กับลูกค้า data center ราว 6.8 ล้านเหรียญ (231 ล้านบาท)
  5. การตั้งสำรอง (Warranty provision) เพราะเกิด defect ในงาน Magnetics solution ราว 16.2 ล้านเหรียญ (551 ล้านบาท)
  6. การกลับรายการตั้งสำรองสินค้าคงเหลือ 290 ล้านบาท
  7. ค่าที่ปรึกษาทางกฎหมาย 1,008 ล้านบาท
  8. ค่าใช้จ่าย R&D ที่สูงกว่าไตรมาสอื่น จาก project ของฝั่งเยอรมนี
  9. มีการปรับเพิ่มอัตราการจ่ายค่า Technical service fees (ให้กับ Delta Taiwan) สำหรับสินค้า Non-AI และมีการเก็บย้อนหลัง 26 ล้านเหรียญ (884 ล้านบาท)
  10. ถูกอินเดียเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม 400 ล้านรูปี (156 ล้านบาท)
  11. ค่าใช้จ่ายชดเชยให้กับคู่ค้าตามที่มีข้อพิพาทกันตั้งแต่ในอดีต แต่มารับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในไตรมาสนี้ 141 ล้านบาท

หากบวกกับตามที่ DELTA ให้ข้อมูลทั้งหมดจะได้กำไรปกติราว 5.2 พันล้านบาท แต่บางรายการ เราไม่ได้มองเป็น One time เช่น การส่งเสริมการขายที่ให้กับลูกค้า, ค่า R&D, ค่าที่ปรึกษาทางกฎหมาย และการตั้งสำรองหรือกลับรายการตั้งสำรองสินค้าคงเหลือที่ DELTA รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายสม่ำเสมออยู่แล้ว ดังนั้นจะถือเป็นกำไรที่ไม่สดใสนัก

รายได้รวมทั้งสกุลดอลลาร์และบาท ปรับลด QOQ ตามฤดูกาล และมาจากรายได้ EV ที่ลดลง แม้ AI จะโตได้ แต่ไม่สามารถหักล้างกลุ่มอื่นที่ลดลงได้ทั้งหมด เบื้องต้นคาดสัดส่วนรายได้ AI อาจขยับมาแตะ 10% ได้ในแง่ YOY เติบโตได้ทุกกลุ่ม ยกเว้น EV ที่ขายใน สหรัฐและเอเชีย ปรับลง -3% QOQ, -27% YOY

อัตรากำไรขั้นต้นที่รายงานเหลือ 22.5% แต่หากบวกกับรายการพิเศษจะมีอัตรากำไรขั้นต้นแท้จริงที่ 24.9% ลดจาก 27.6% ในไตรมาส 3/2567 จากรายได้ที่ลดลง โดยกลุ่ม EV มีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงมากสุดเหลือ 11.7% ต่ำสุดรอบ 7 ไตรมาส และกลุ่ม Fan ลดลงมากเช่นกัน

ADVERTISMENT

ค่าใช้จ่ายเร่งตัวขึ้นต่อ ทั้ง R&D และมี Technical service fees สูงถึง 3.47 พันล้านบาท (8.3% ของรายได้รวม) หากไม่รวมค่า fees ที่ถูกเก็บย้อนหลัง 884 ล้านบาท พบว่าค่า fees ที่จ่ายให้ Delta Taiwan ในไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 2.59 พันล้านบาท คิดเป็น 6.2% ของรายได้รวม ทำให้ SG&A to sales สูงขึ้นเป็น 14.8% สูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส

โดยจบปี 2567 มีกำไรสุทธิ 1.89 หมื่นล้านบาท (+2.8% YOY) ส่วนกำไรปกติอยู่ที่ 2.01 หมื่นล้านบาท (+17% YOY)

ADVERTISMENT

แม้ AI จะยังมีแนวโน้มที่ดี แต่สัญญาณการชะลอตัวของกลุ่ม EV ดูน่าเป็นห่วงกว่าที่เคยคาด ขณะที่ค่า fees ที่ต้องจ่ายให้กับ Delta Taiwan เร่งขึ้นมากกว่าการเติบโตของรายได้ ทำให้สัดส่วนค่า fees ต่อรายได้รวมปี 2567 สูงขึ้นเป็น 6.2% จาก 3.8% ในปี 2566 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก หลังถูกปรับอัตราจ่ายเพิ่มขึ้นใน 4/2567 โดยบริษัทให้วิวว่าถูกขยับขึ้นเป็น 10% ของรายได้ที่มาจาก Taiwan ประกอบกับจะเริ่มเผชิญอัตราภาษี GMT ที่สูงขึ้นเป็น 15% ตั้งแต่ไตรมาส 1/2568 จาก 2.4% ในปี 2567

“เราปรับลดกำไรสุทธิปี 2568-2570 ลง 19-30% เป็นการเติบโต 3.6%, 14.1%, 13.8% และปรับลด PE ลงเป็น 45 เท่า เท่ากับค่าเฉลี่ย 5 ปี เพื่อสะท้อนการเติบโตของกำไรที่ลดลงกลับสู่ระดับปกติปีละ 10-15% และภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรม AI ที่รุนแรงขึ้น ทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI ถูก De-rate valuation จึงปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 72 บาท (คิดเป็น PBV 1 เท่า) ขณะที่ประกาศจ่ายปันผลงวดปี 2567 หุ้นละ 0.46 บาท คิดเป็นผลตอบแทนเงินปันผลเพียง 0.4% แนะนำ “ขาย”

สำหรับการประชุม DELTA ในช่วงเช้าวันนี้ “โทนลบ” บริษัทปรับลดเป้าการเติบโตของ AI และ EV ลง ขณะที่ยังมีความเสี่ยงจากคดีที่ถูกคู่แข่งในสหรัฐฟ้องร้องเรื่องละเมิด patent

โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2568 โต 10-15% YOY มาจาก AI ที่ 50-60% ปรับลงจาก 100% (สัดส่วนจะเพิ่มจาก 10-15% ของรายได้รวม), data center ที่ 10-15% YOY ส่วน EV ปรับลดเป้าเหลือโต 5-8% YOY (สัดส่วนจะทรงตัวที่ 25% ของรายได้รวม) และตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นรวมทรงตัว YOY ที่ 25% และจะพยายามไม่ให้ SG&A to sales เกิน 13%

สำหรับ Delta Taiwan ปรับเพิ่มค่า fees เป็น 10% สำหรับสินค้า Non-AI มากกว่า 10% สำหรับกลุ่ม AI โดยบริษัทให้ข้อมูลว่าสัดส่วนรายได้ที่มาจาก Taiwan และต้องจ่ายค่า fees ไม่น้อยกว่า 40% ของรายได้รวม

ส่วนค่าใช้จ่าย legal fee ที่ 1 พันล้านบาท ในปี 2567 มาจากคดีฟ้องร้องที่สหรัฐราว 800 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าที่ปรึกษาทางกฎหมายทั้งหมด โดยเป็นคดีที่คู่แข่งในสหรัฐชื่อ Vicor Corporation ฟ้อง DELTA ว่าละเมิด patent ในเทคโนโลยีของเขา (เกี่ยวข้องกับสินค้า DC-DC Power System) ทั้งนี้เทคโนโลยีดังกล่าวที่ DELTA ใช้เป็นของ Delta Taiwan แต่ DELTA เป็นคนขายสินค้า เลยเป็นคนที่โดนฟ้อง

โดย US ITC ตัดสินเบื้องต้นว่า DELTA ผิด และให้หยุดการขายในสินค้าดังกล่าวกับลูกค้าทั้ง 2 ราย คือ Foxconn และ Quantum ทั้งนี้ DELTA ได้ทำการ Redesign กับลูกค้าแล้วอาจกระทบยอดขายจำกัด (บริษัทไม่เปิดเผยว่ามีสัดส่วนรายได้เท่าไร)

แต่ความเสี่ยงที่ยังอยู่คือ คดียังไม่จบ DELTA อยู่ระหว่างอุทธรณ์ นั่นหมายถึงน่าจะยังเผชิญกับ legal fee ต่อเนื่อง อย่างน้อยไปอีก 1-2 ไตรมาส และกรณีทำถูกตัดสินว่าแพ้ ยังไม่ทราบว่าจะถูกปรับหรือไม่ และเท่าไหร่ ต้องติดตามต่อไป