
จุลพันธ์เผย คลังเตรียมผุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง หวังพยายามดันจีดีพีปี 2568 โตถึง 3.5% หลังสภาพัฒน์คาดปีนี้โตแค่ 2.8%
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ประมาณการจีดีพีปี 2568 ที่ 2.3-3.3% หรือค่ากลาง 2.8% ซึ่งโตต่ำกว่า 3% หากเทียบกับประเทศในอาเซียนไทยโตรั้งท้ายประเทศอื่น ว่าการฉายภาพเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ซึ่งหากย้อนไป 10 ปีก่อนการฉายภาพก็ตกเฉลี่ยประมาณ 2 จุดปลาย ๆ ทุกปี แต่การเติบโตจริงไม่เคยถึง 2% เฉลี่ยประมาณ 1.9%
แต่ปีที่ผ่านมาจากการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน จะเห็นว่าทำได้เกินกว่าเป้าหมาย สามารถไปแตะ 2 ปลาย ๆ ได้ เกินกว่าเป้าหมายในระดับหนึ่ง และปีนี้เรายังมีกลไกอยู่ในสต๊อก โดยเฉพาะการกระตุ้นเงิน 10,000 บาท เฟสต่อไปรวมถึงสิ่งที่ได้ทำมาแล้วและกลไกที่ทำเรื่อง Easy E-Receipt จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น กระทรวงการคลังมีความมั่นใจว่าในไตรมาส 3 จะมีการเติบโตเราสามารถทำได้ ซึ่งเราก็มีการประชุมในส่วนของอนุกรรมการขับเคลื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจมาคุยลงรายละเอียด ว่ากลไกที่เราจะใช้ 3-5 อย่างจะทำให้เพิ่มในเรื่องการเติบโตเศรษฐกิจที่รัฐบาลพยายามจะเพิ่มอีก 0.5% นั้นจะต้องทำอย่างไร ก็มีมาตรการ เช่น การเร่งรัดการเบิกจ่ายการป้องกันการรั่วไหลของเงิน 10,000 บาทที่แน่นอน
เมื่อลงไปมันก็ต้องมีกลไกที่จะทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจอยู่บ้าง เราก็จะต้องสามารถเข้าไปกำกับและอุดรอยรั่วเหล่านี้ ก็จะช่วยในเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ถึง 0.2% และพยายามดันให้ถึง 3.5% ด้วยซ้ำ แต่จุดนี้ต้องดูกลไกและสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง นี่คือการฉายภาพ ซึ่งกระทรวงการคลังก็มีความมั่นใจ แม้ว่าสถาบันการเงิน สถาบันการศึกษา ก็อาจมีตัวเลขที่แตกต่างก็เป็นเรื่องปกติ
นายจุลพันธ์กล่าวถึงกรณีสภาพัฒน์ระบุว่า ได้รวมเรื่องมาตรการแจกเงินหมื่นรอบ 3 ไว้แล้วในจีดีพี 2.8% ว่า ที่กระทรวงการคลังก็มี แต่สิ่งที่บอกคือกลไกในการขับเคลื่อนให้เม็ดเงินที่ลงไปสู่ระบบสามารถหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงนี้เป็นหน้าที่กระทรวงการคลังต้องเข้าไปกระชับ
เมื่อถามว่าเห็นด้วยหรือไม่กับข้อเสนอขอสภาพัฒน์ ที่บอกว่าให้แบ่งงบประมาณจากโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเลต เฟส 3 มาทำโครงการบริหารจัดการน้ำทั่วประเทศ จะทำให้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่า
จุลพันธ์กล่าวว่า มันก็เงินบาทเดียวกัน แต่คนละกลไก ในการใช้ที่อาจมีความแตกต่าง ในมุมนั้นมันเป็นเรื่องการปรับโครงสร้าง โดยเพิ่มโครงสร้างพื้นฐาน มุมนี้รัฐบาลไม่ได้ละเลย และมีกลไกในการทำอยู่แล้วตามงบฯประจำปี และงบฯกลาง ซึ่ง ครม.สัญจรที่สงขลาวันนี้ก็มีที่จะอนุมัติ สิ่งที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน นี่เป็นเงินบาทเดียวกัน
แต่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรนั้น ต้องเรียนว่ากลไกในการใช้เงินความเป็นรัฐมันไม่มีประสิทธิภาพด้วยซ้ำ ซึ่งเม็ดเงินที่ลงถึงประชาชนที่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจส่วนมากมาจากการจับจ่ายใช้สอย การลงทุนครอบครัว ครัวเรือน แต่ของภาครัฐในการผ่านการจัดซื้อจัดจ้าง กว่าจะลงไปในระบบนั้นกลับช้ากว่า
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ดี แต่หมายความว่าความเป็นรัฐบาลมีระบบอยู่ เราก็เติมเงินลงไปให้กับประชาชน ขณะเดียวกัน เรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน เรามีกลไกอื่นอยู่แล้ว ซึ่งหากจะมีความจำเป็นในการแบ่งสัดส่วนออกไปสร้างนั้น เราก็คุยกันได้ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้พิจารณา
เมื่อถามว่าควรจะมีการหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังอีกหรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่าควรอยู่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะต้องมีแผน ตอนนี้คิดอยู่ว่ากลไกในการใช้เม็ดเงินจากจุดไหน และวิธีการอย่างไร และจะใช้วิธีการอย่างไร เราก็ต้องหาข้อสรุปอีกครั้ง
เมื่อถามว่าโอกาสที่จีดีพีจะถึง 3.5% ถ้าได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะสามารถทำได้หรือไม่ นายจุลพันธ์ระบุว่าเป็นไปได้ และเราก็พยายามดูอยู่ อย่างที่บอกกลไกและมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าไปดูแค่เติมเงิน ซึ่งต้องดูกลไกอื่น ๆ ซึ่งเราไม่ได้จำกัดรูปแบบ ซึ่งตอนนี้ก็มีข้อเสนอมาบ้างแล้ว
เมื่อถามว่าต้องคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วยหรือไม่ เนื่องจากบางกฎหมายมีข้อจำกัด นายจุลพันธ์กล่าวว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีการพูดคุยกับ ธปท.มาโดยตลอด เชื่อว่าการพูดคุยเป็นไปตามที่ทุกฝ่ายต้องการ แม้ว่าโจทก์ก็อาจจะมีการชั่งน้ำหนักที่แตกต่างกันบ้าง ในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจกับเรื่องเสถียรภาพทางการเงิน จุดนี้ทั้งสองฝ่ายก็ต้องมีการหารือร่วมกัน
นายจุลพันธ์ยืนยันว่า ตอนนี้ไม่มีความกังวลที่ตัวเลขจีดีพีออกมาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ล่าสุดที่ต่ำกว่าเป้าหมายนั้น ต้องยอมรับว่าในไตรมาสแรกก่อนหน้านี้จีดีพีมันต่ำมาก เราก็พยายามขับเคลื่อนมาจนมีการเติบโต ซึ่งกระทรวงการคลังก็ตั้งเป้าให้ตัวเลขจีดีพีไปใกล้ 3%
เมื่อถามว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในสัปดาห์หน้าคาดหวังว่า ธปท.จะมีมาตรการเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินมาช่วยหรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่าตนไม่คาดหวัง เพราะต้องเข้าใจว่าธนาคารแห่งประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความเป็นอิสระ
เราคงไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เขาคงเข้าใจว่ากลไกอย่างไหนจะสร้างเสรีภาพทางการเงินได้ กลไกอย่างไหนจะเป็นการส่งเสริมช่วยเรื่องเศรษฐกิจของรัฐบาล และทำให้ประชาชนมีการใช้จ่ายได้ดี ตนเชื่อว่า กนง.จะมีความเข้าใจ ส่วนจะคาดหวังหรือไม่ ตนไม่พูดดีกว่า เพื่อให้เขามีความสบายใจ