
โบรกฯคาดหุ้นไทยปลาย ก.พ.นี้ เริ่มทรงตัว แต่ขึ้นได้ไม่แรง แนวรับ 1,250 จุด แนวต้าน 1,270 จุด มองราคาหุ้นเริ่มซึมซับปัจจัยกดดันแล้ว ลุ้นคลังฟื้น LTF หนุนดัชนี พร้อมจับตามาตรการภาษีทรัมป์ แนะเก็งกำไรหุ้นจ่ายปันผล-งบ บจ. ออกมาดี
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้จะเป็นลักษณะการแกว่งตัวและเริ่มสร้างฐานขึ้นได้ หลังจากที่ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากหุ้นขนาดใหญ่ ที่มีปัจจัยกดดันเฉพาะตัว อย่างไรก็ตาม มองว่าราคาหุ้นเริ่มซึมซับปัจจัยกดดันต่าง ๆ ไปพอสมควรแล้ว เช่น DELTA, AOT, CPALL, CPAXT เป็นต้น
ดังนั้นจึงมองว่าระยะสั้นในช่วงเดือน ก.พ.นี้ จะเริ่มทรงตัว แต่ยังไม่ปรับตัวขึ้นได้มากนัก โดยยังมีปัจจัย Overhang เกี่ยวกับสงครามการค้าสหรัฐในการขึ้นภาษี ซึ่งยังคงต้องติดตาม ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงการทยอยรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 4/67 ซึ่งจะเป็นปัจจัยเฉพาะตัวของหุ้นรายตัว ทำให้ภาพโดยรวมไม่ได้ปรับตัวขึ้นแรงหรือปรับลงแรงมากนัก
ขณะที่กระทรวงการคลังที่เริ่มรับรู้ว่ามีเม็ดเงินไหลออกจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) อาจจะมีการออกกองทุนใหม่ หรือปรับเงื่อนไขต่าง ๆ ที่จะรองรับเม็ดเงินดังกล่าวได้ ซึ่งอาจจะเป็นข่าวดีได้ในระยะถัดไปในช่วงเดือน มี.ค. หากมีความคืบหน้ามากขึ้น
“ทั้งนี้ ประเมินกรอบดัชนีช่วงเดือน ก.พ.นี้ แนวรับ 1,250 จุด แนวต้าน 1,265-1,270 จุด หากผ่านได้จะอยู่ที่ 1,270-1,280 จุด อย่างไรก็ตาม หากมีปัจจัยที่เป็นเชิงลบ เช่น การรายงานผลประกอบการออกมาไม่ดีนัก โดยเฉพาะที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ อาจจะทำให้ปรับลดลงได้ที่ประมาณ 1,235 จุด สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเป็นหุ้น Domestic Play ที่จ่ายปันผลดี และหุ้นงบดีจ่ายปันผลดี เช่น CPALL, AMATA, TTB, SIRI เป็นต้น”
ด้านนายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้มีโอกาสสูงที่จะฟื้นตัว โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2568 ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงประมาณ 10% ถือว่าเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนต่ำสุดในภูมิภาค ขณะที่ปัจจัยความกดดันด้านกองทุน LTF ที่มีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง มองว่าหากมีมาตรการที่ชัดเจนขึ้น ในเดือน มี.ค. เชื่อว่าจะทำให้ลดลงแรงขายในระยะสั้นนี้ได้
ขณะเดียวกันปัจจัยภายในประเทศแม้ว่าจะไม่ได้มีปัจจัยบวก ในเชิงกำไรต่อหุ้น (EPS) แต่ระยะสั้นการที่ SET Index ลดลงมาที่บริเวณ 1,230 จุด ทำให้ Earning Yield Gap ขึ้นสูงถึง 5.5% ทำอันดับสูงสุดในรอบ 5 ปี นั่นหมายความว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยผลตอบแทนมากกว่าพันธบัตร 5.5% ซึ่งเกิดขึ้นในรอบล่าสุดช่วงโควิด-19 จากนี้มองว่านักลงทุนจะพิจารณาและมีเม็ดเงินมาซื้อหุ้นปันผลมากขึ้น ดังนั้น แนะนำ KKP, SIRI, AP เป็นต้น