
MINT เตรียมชงผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายเงินปันผล ปี 2567 อีก 0.35 บาท รวมทั้งปีจ่าย 0.60 บาท หลังรายได้จากการดำเนินงานพุ่ง ทั้งธุรกิจร้านอาหาร-โรงแรม จากสถานการณ์ท่องเที่ยวทั่วโลกเฟื่องฟู-ความสำเร็จของกลยุทธ์กำหนดราคา
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บริษัทเตรียมขอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 29 เม.ย. 2568 อนุมัติจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสด ในอัตรา 0.35 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล วันที่ 7 พ.ค. 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 พ.ค. 2568
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลปี 2567 จากผลดำเนินงานงวดวันที่ 1 ม.ค. 2567-31 ธ.ค. 2567 และกำไรสะสม ในอัตรา 0.60 บาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัท อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2567 บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาทไปแล้ว ดังนั้น บริษัทจะจ่ายเงินปันผลในส่วนที่เหลือในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท รวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 1,984,491,941.95 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการอนุมัติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ในปี 2567 รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทเติบโต 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 166,034 ล้านบาท เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานของโรงแรมและร้านอาหารที่ดีขึ้น การท่องเที่ยวทั่วโลกที่เพื่องฟูและความสำเร็จของกลยุทธ์การกำหนดราคา ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ในยุโรปและเอเชียเพิ่มขึ้น และการเปิดโรงแรมใหม่ทำให้ผลการดำเนินงานของโรงแรมแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน จำนวนลูกค้าและยอดขายที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทยและสิงคโปร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แคมเปญการตลาด การขยายสาขา และการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ผลักดันให้ธุรกิจร้านอาหารเติบโต
กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อม (Core EBITDA) เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 44,572 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตต่ำกว่ารายได้ เนื่องจากการปรับปรุงบัญชีในคำนวณ ณ สิ้นปี 2565 รวมไปถึงการลงบัญชีด้านต้นทุนของโอ๊คส์ตามมาตรฐานบัญชี IFRS 16
กําไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 8,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นเป็น 5.1% จากความสามารถในการดำเนินงานที่ดีขึ้นและการใช้ประโยชน์จากผลขาดทุนทางภาษียกมา
โดยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากเงินกู้ยืมและหุ้นกู้ รวมไปถึงหนี้สินตามสัญญาเช่า (ไม่รวมต้นทุนทางการเงินอื่น ๆ) เพิ่มขึ้นเพียง 4% และ 4% เป็น 5,888 ล้านบาท และ 4,274 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลมาจากความพยายามในการลดหนี้ของ MINT โดยเฉพาะในช่วงปลายปี แม้จะเผชิญกับสภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในปี 2567 ภาระดอกเบี้ยที่ลดลงจากการชำระคืนหนี้สินอย่างต่อเนื่องจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในปี 2568