
“พิชัย” รมว.คลัง เรียกถก ธปท.-สภาพัฒน์-สศค. หามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดันจีดีพีโตตามเป้า 3-3.5% เน้นใช้ 3 เครื่องยนต์ส่งออก-ท่องเที่ยว-การลงทุนภาครัฐและเอกชนขับเคลื่อน เตรียมชงบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ มี.ค.นี้
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วันนี้ (27 ก.พ) ได้มีการประชุมหารือกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เพื่อหาแนวทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ให้ GDP ปีนี้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 3-3.5% โดยวางมาตรการใหญ่ 2 แนวทาง 1.) ตั้งเป้าเพิ่มการบริโภคภายในประเทศและมองว่าการแก้หนี้เป็นอีกส่วนในการเพิ่มการบริโภค ดังนั้น ต้องมีการแก้หนี้ให้เร็วที่สุด
2.) ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยหลัก ๆ เช่น 2.1. การท่องเที่ยว ต้องดูว่ามีอะไรที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ว่าจะมีการขับเคลื่อนอย่างไร เช่น ความสะดวกของผู้เข้ามาเดินทาง เรื่องวีซ่า เรื่องความปลอดภัย สถานที่ท่องเที่ยว สนามบิน เป็นต้น
2.2. การส่งออก โดยไทยเป็นประเทศอุตสาหกรรม ที่มีการพึ่งพาการส่งออก 65-70% ต้องมาดูว่าทำอะไรบ้าง เพราะเป็นภาคสำคัญ ดังนั้น ปัญหาที่มีอยู่ คือเรื่อง Productivity ควรที่จะผลิตเท่าไหร่เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะดูแลการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ ต้องลงรายละเอียดเครื่องจักร น้ำ ปุ๋ย ในเชิงคุณภาพ โดยจะมองสินค้าเกษตรรายตัวไป เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ซึ่งจะคุยเป็นชุด ๆ และจะมีการปรับกันเป็นเรื่อง ๆ เป็นการแก้ไขให้เกษตรกรรมแข็งแรงและมีประสิทธิภาพ
และ 2.3. การลงทุน เช่น ยานยนต์ ว่าจะมีการร่วมมือทำงานและบูรณาการอย่างไรให้โครงสร้างรถยนต์อยู่ได้ สามารถใช้ประโยชน์ได้ ขณะที่จะมีการปรับรถ EV ให้บาลานซ์กันมากที่สุด
“โดยแผนทั้งหมดนี้จะมีการนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีว่ามีความเห็นด้วยอย่างไร หากเห็นด้วยจะมีการนำรายละเอียดทั้งหมดเข้าเสนอต่อคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้มีความเห็นชอบ ซึ่งคาดว่าจะมีการประชุมในช่วงเดือน มี.ค.นี้”
ด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวว่า ตามที่โจทย์ของรัฐบาลที่วางไว้ให้จีดีพีปีนี้โตเกิน 3-3.5% ต้องทำอย่างไร ด้วยหลักปีนี้เครื่องยนต์มีอยู่ 3 คือ เรื่องการส่งออก, การท่องเที่ยว และการลงทุน
โดยการส่งออกอย่างที่ประเมินไว้ต้องโต 3.5-4% ดังนั้น ในแต่ละเดือนต้องมีการส่งออกได้ประมาณ 2.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะมีการประสานกับกระทรวงพาณิชย์ หารือว่าจะเพิ่มตลาดในที่ไหน และเพิ่มสินค้าอะไรในการส่งออก ซึ่งเรื่องต่าง ๆ จะเกี่ยวโยงกับภาคอุตสาหกรรมเช่นกันหากการส่งออกขยายตัวได้ดีขึ้น จากภาคอุตสาหกรรมที่มีการผลิตมากขึ้น เศรษฐกิจจะขยายตัวได้
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวตั้งเป้าว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาได้ขั้นต่ำ 38 ล้านคนในปีนี้ และมีรายได้ 1.65 ล้านล้านบาท ซึ่งจะต้องให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณา ว่าจะมีการดึงนักท่องเที่ยวในส่วนไหนเข้ามา ดังนั้น จะต้องมีการทำตลาดมากขึ้น สามารถดึงนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพเข้ามา และพยายามสร้างให้เกิดการใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มมากขึ้น อย่างน้อยต้องมากกว่า 4.2 หมื่นบาท/ทริป/คน
ขณะที่ส่วนของการลงทุน รัฐบาลตั้งเป้าหมายให้การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในแต่ละไตรมาสไม่ต่ำกว่า 85% นอกจากนี้ ยังจะส่งเสริมให้ภาคเอกชนที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ลงทุนอย่างน้อย 40-50% ของเม็ดเงินที่ได้รับในปีนี้ นอกจากนี้ ยังจะกำหนดตัวชี้วัดผลงาน (KPI) สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การลงทุนดำเนินไปตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
“ต้องมีการขยับเป้าเบิกจ่ายให้ได้ 85-90% เพื่อที่จะดันเศรษฐกิจให้โต เพราะเวลาดันเศรษฐกิจให้โตจะใช้ตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ ต้องใช้หลายตัวผสมกัน ซึ่งต้องมีการมาคุยกันให้ถึงเป้า โดยจะมีในส่วนของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างด้วย ที่จะต้องมีการทำให้ระยะเวลาสั้นลง เพื่อสนับสนุนให้มีการเบิกจ่ายได้เร็วขึ้น“