คลังเคาะ LTF ทยอยหักภาษี “ดร.นิเวศน์” ชี้ช่วยสกัดแรงขาย

LTF

ใกล้คลอดเต็มแก่แล้ว สำหรับมาตรการแก้ปัญหาแรงเทขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) โดยการแปลงเป็นกองทุน “Thai ESG X” ที่ให้สามารถโอนย้ายหน่วยลงทุนได้อัตโนมัติ เพียงแจ้งความประสงค์กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่บริหารกองทุนอยู่ ภายในเดือน ส.ค. 2568 ซึ่งจะได้รับสิทธินำหน่วยลงทุนที่โอนย้ายมาหักลดหย่อนภาษีได้

หักลดหย่อน 5 แสน บาทใน 5 ปี

ทั้งนี้ ได้รับการยืนยันจากทางกระทรวงการคลังล่าสุดว่า การให้สิทธิลดหย่อนภาษีจะหักได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยนักลงทุนต้องไม่ขายหน่วยลงทุนภายในเวลา 5 ปี ซึ่งรายละเอียดการหักลดหย่อนนั้น หากนักลงทุนมีมูลค่า LTF (ณ ราคาปัจจุบัน) เหลือมากกว่า 500,000 บาท ก็จะหักได้แค่ไม่เกิน 500,000 บาท (5 ปี) โดยปีแรกจะหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 300,000 บาท ส่วนวงเงินที่เหลือให้นำมาหาร 4 เพื่อใช้หักลดหย่อนในอีก 4 ปีที่เหลือ ปีละเท่า ๆ กัน

ดร.นิเวศน์ ชี้ช่วยสกัดแรงขาย

ขณะที่เรื่องนี้มีมุมมองจาก “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) ที่มองว่า แนวทางดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นความพยายามที่จะสกัดไม่ให้มีแรงขายหุ้นไทยมากเกินไป จากช่วงนี้จะเห็นนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยออกไป เพราะภาวะตลาดไม่ดีและอยู่ในทิศทางที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น

“แต่คงหวังอะไรไม่ได้มากจากมาตรการเหล่านี้ ในการจะฟื้นดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับขึ้นมา เพราะไม่ได้เป็นการเพิ่มเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดหุ้น”

ขาย LTF “เกลี้ยงพอร์ต” ไปแล้ว

“ดร.นิเวศน์” ยอมรับว่า ตนได้ขาย LTF ที่เคยถืออยู่ประมาณ 10 ล้านบาท มานานกว่า 20 ปี ออกไปหมดแล้วเมื่อต้นปี 2568 ที่ผ่านมา เพราะไม่มีกำไรมาหลายปี และประเมินภาวะตลาดหุ้นไทยแล้วไหลลงแบบไม่ลืมหูลืมตา จึงเน้นความปลอดภัยไว้ก่อน ประกอบกับช่วงหลังตนเองไม่ได้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว แต่สำหรับใครที่ยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมองว่ายังคุ้ม เพราะราคาหุ้นก็ปรับตัวลงมามากแล้ว

“ผมซื้อมาตั้งแต่เริ่มมีการก่อตั้งกองทุนนี้ และไม่เคยขายเลย ก็ตัดสินใจล้างพอร์ตขายออกไปหมดเมื่อต้นปี 2568 แล้ว”

ADVERTISMENT

หันถือ “เงินสด”-หุ้นไทยวิกฤต

“ดร.นิเวศน์” กล่าวว่า ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ตนเองเน้นเก็บสะสมเป็น “เงินสด” เพราะดูแล้วมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก โดยปัจจุบันเพิ่มสัดส่วนการถือเงินสดจากประมาณ 5% ขยับมาเป็น 7-8% แล้ว แต่ก็ยังอยากจะเพิ่มสัดส่วนให้สูงขึ้นอีก ทั้งนี้ เงินสดที่ถือนั้น ถ้ามีจังหวะดีก็จะนำเงินไปลงทุนหุ้นโลก เพื่อขยับพอร์ตให้ขึ้นมาอยู่ในระดับกว่า 30%

“ตลาดหุ้นไทยปีนี้ถือว่าเป็นปีวิกฤต เพราะแค่ 2 เดือน ดัชนีหุ้นไทยติดลบไปแล้ว 14-15% หนักกว่าปีที่แล้วมาก ทำให้ต้องทยอยขายหุ้นไทยออกไป ถ้าประเมินแล้วว่า ไม่ไหวจริง ๆ”

ADVERTISMENT

ส่วนแนวทางการจะฟื้นดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ในระยะสั้น “ดร.นิเวศน์” มองว่า รัฐบาลต้องกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตขึ้นให้ได้ ซึ่งก็เห็นรัฐบาลกำลังพยายามดำเนินการอยู่ เช่น ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ไปแล้ว และเหมือนกำลังหาแนวทางในการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบอยู่

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯก็กำลังขับเคลื่อนโครงการ Jump+ ในการเพิ่มศักยภาพการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และสิ่งสำคัญที่จะฟื้นดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ในระยะยาว คือ ต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ให้มีอัตราการเติบโต (GDP Growth) ที่เพิ่มขึ้นแบบถาวร เพราะตอนนี้เป็นปัญหาอยู่โดยเฉพาะโครงสร้างประชากรที่แก่ตัว

“เวลานี้ต้องช่วยกันทุกด้าน เพื่อชะลอไม่ให้ตลาดหุ้นไทยไหลลงหนัก”

“ฟินโนมีนา” ชี้กระตุ้นไม่มาก

ขณะที่ “ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวอาจจะไม่ช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นไทยได้มากนัก เพราะไม่ใช่มาตรการที่นำเงินใหม่เข้ามาลงทุน แต่เพียงหยุดแรงขายจากเม็ดเงินที่มีอยู่ รวมถึงยังมีความไม่ชัดเจน ว่ายอดที่นำมาลดหย่อนภาษีจะเป็นยอดไหน เช่น เป็น Mark to Market หรือยอดที่ซื้อตั้งแต่ครั้งแรก

“เมอร์ชั่นฯ” ชี้ควรมี LTF ใหม่

เช่นเดียวกับ “ประกิต สิริวัฒนเกตุ” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ มองว่า การโยกเงินกองทุน LTF ไปเป็น Thai ESG X น่าจะช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นไทยได้ไม่มากนัก แต่จะช่วยประคองไม่ให้นักลงทุนที่ถือ LTF อยู่เทขายออกมา

“คงจะช่วยยั้ง แต่ไม่ได้เป็นตัวทำให้หุ้นไทยปรับขึ้นได้ โดยหากหุ้นไทยสภาพยังไม่ดีขึ้น นักลงทุนอาจจะตัดใจขายแม้ขาดทุน ขณะที่นักลงทุนบางส่วนอาจจะมองว่าตลาดหุ้นไทยที่ลงมาค่อนข้างสูง หากแปลงเป็นกองใหม่และถือต่อไปพร้อมสามารถนำมาลดหย่อนภาษี อาจจะไม่ขาย”

“ประกิต” กล่าวว่า นักลงทุนที่ถือ LTF ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนระยะยาว ซึ่งหุ้นไทยในปัจจุบันราคาถูก หากถือต่อไปอาจจะคุ้มค่ามากกว่า แต่จะดีมากกว่านี้ หากกำเนิดกองทุน LTF ใหม่ขึ้นมาเลย เพราะจะทำให้เกิดแรงซื้อใหม่ได้มากกว่า