
ดร.นิเวศน์ นักลงทุนวีไอ ตัดขายพอร์ตกองทุน LTF ที่ถือมานาน 20 ปี “เกลี้ยงพอร์ต” ยอมรับไม่มีกำไรมาหลายปี ประเมินภาวะตลาดหุ้นไทยแล้วไหลลงแบบไม่ลืมหูลืมตา เน้นปลอดภัยไว้ก่อน ประกอบกับช่วงหลังไม่ได้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว แต่ใครยังได้สิทธิประโยชน์ภาษีมองว่า “ยังคุ้ม” ช่วงนี้หันเก็บสะสมเป็น “เงินสด” เพิ่ม เล็งหาจังหวะปรับพอร์ตหุ้นไทย โยกลงทุนหุ้นโลก
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า มาตรการโยกเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่มีเงินอยู่จำนวน 1.8 แสนล้านบาท
โดยการแปลงเป็นกองทุน ThaiESG X ที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษีจะหักได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท หากนักลงทุนไม่ขายหน่วยลงทุนภายในเวลา 5 ปี แนวทางดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นความพยายามที่จะสกัดไม่ให้มีแรงขายหุ้นไทยมากเกินไป จากช่วงนี้จะเห็นนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยออกไป เพราะภาวะตลาดไม่ดีและอยู่ในทิศทางที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น
“แต่คงหวังอะไรไม่ได้มากจากมาตรการเหล่านี้ ในการจะฟื้นดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับขึ้นมา เพราะไม่ได้เป็นการเพิ่มเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดหุ้น”
ดร.นิเวศน์” ยอมรับว่า ตนเองได้ขาย LTF ที่เคยถืออยู่ประมาณ 10 ล้านบาท มานานกว่า 20 ปี ออกไปหมดแล้วเมื่อต้นปี 2568 ที่ผ่านมา เพราะไม่มีกำไรมาหลายปี และประเมินภาวะตลาดหุ้นไทยแล้วไหลลงแบบไม่ลืมหูลืมตา จึงเน้นความปลอดภัยไว้ก่อน ประกอบกับช่วงหลังตนเองไม่ได้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว แต่สำหรับใครที่ยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมองว่ายังคุ้ม เพราะราคาหุ้นก็ปรับตัวลงมามากแล้ว
“ผมซื้อมาตั้งแต่เริ่มมีการก่อตั้งกองทุนนี้ และไม่เคยขายเลย ก็ตัดสินใจล้างพอร์ตขายออกไปหมดเมื่อต้นปี 2568 แล้ว” ดร.นิเวศน์ กล่าวและว่า
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ตนเองเน้นเก็บสะสมเป็น “เงินสด” เพราะดูแล้วมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก โดยปัจจุบันเพิ่มสัดส่วนการถือเงินสดจากประมาณ 5% ขยับมาเป็น 7-8% แล้ว แต่ก็ยังอยากจะเพิ่มสัดส่วนให้สูงขึ้นอีก ทั้งนี้ เงินสดที่ถือนั้น ถ้ามีจังหวะดีก็จะนำเงินไปลงทุนหุ้นโลก เพื่อขยับพอร์ตให้ขึ้นมาอยู่ในระดับกว่า 30%
โดยปัจจุบันโครงสร้างพอร์ตลงทุนของตนเอง “ดร.นิเวศน์” กล่าวว่า สัดส่วนประมาณ 60% ยังเป็นพอร์ตหุ้นไทยอยู่ ที่เหลือเป็นพอร์ตหุ้นเวียดนามและหุ้นโลก แต่เป้าหมายภายในปีนี้จะปรับสัดส่วนพอร์ตหุ้นไทย, หุ้นเวียดนาม และหุ้นโลก ให้อยู่ในระดับเท่ากันประมาณกว่า 30% เพื่อให้มีความแข็งแกร่งและปลอดภัยขึ้น
โดยหุ้นไทยที่เหลืออยู่ในเวลานี้ยังถือไว้ก่อน เนื่องจากราคาต่ำมาก ขายไม่ลง แต่ส่วนใหญ่มีพื้นฐานรองรับและจ่ายปันผลค่อนข้างดีมาก บางตัวจ่ายระดับ 5-7% และมองว่าถ้าขายออกไปในช่วงนี้อาจยิ่งซ้ำเติมตลาดได้ ดังนั้นคงเป็นการทยอยขายหุ้นไทยออกไป ซึ่งเมื่อต้นปีก็ตัดขายไปแล้วบางส่วน
“ตลาดหุ้นไทยปีนี้ถือว่าเป็นปีวิกฤต เพราะแค่ 2 เดือน ดัชนีหุ้นไทยติดลบไปแล้ว 14-15% หนักกว่าปีที่แล้วมาก ทำให้ต้องทยอยขายหุ้นไทยออกไป ถ้าประเมินแล้วว่า ไม่ไหวจริง ๆ”
ส่วนแนวทางการจะฟื้นดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ในระยะสั้น ดร.นิเวศน์ มองว่า รัฐบาลต้องกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตขึ้นให้ได้ ซึ่งก็เห็นรัฐบาลกำลังพยายามดำเนินการอยู่ เช่น ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ไปแล้ว และเหมือนกำลังหาแนวทางในการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบอยู่
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯก็กำลังขับเคลื่อนโครงการ Jump+ ในการเพิ่มศักยภาพการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และสิ่งสำคัญที่จะฟื้นดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ในระยะยาว คือ ต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ให้มีอัตราการเติบโต (GDP Growth) ที่เพิ่มขึ้นแบบถาวร เพราะตอนนี้เป็นปัญหาอยู่โดยเฉพาะโครงสร้างประชากรที่แก่ตัว “เวลานี้ต้องช่วยกันทุกด้าน เพื่อชะลอไม่ให้ตลาดหุ้นไทยไหลลงหนัก”