ฟินโนมีนา แนะแก้ 4 ปม ฟื้นเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทย มองแปลง LTF แค่พยุง

ฟินโนมีนา (Finnomena) มองมาตรการแก้ปัญหาแรงขาย LTF แปลงมาเป็น ThaiESGX แค่ประครอง กระตุ้นตลาดไม่มาก ชี้ตลาดหุ้นไทยลงจากหลายปัจจัย แนะ 4 ข้อแก้ไขปัญหาช่วยฟื้นความเชื่อมั่น

นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า มาตรการแก้ปัญหาแรงเทขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะแปลงเป็นกองทุน Thai ESG X มองว่าอาจช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นไทยได้ไม่มากนัก เพราะไม่ใช่มาตรการที่นำเงินใหม่เข้ามาลงทุน แต่เพียงหยุดแรงขายจากเม็ดเงินที่มีอยู่ รวมถึงยังมีความไม่ชัดเจน ว่ายอดที่นำมาลดหย่อนภาษีจะเป็นยอดไหน เช่นเป็น Mark to Market หรือยอดที่ซื้อตั้งแต่ครั้งแรก

“สมมุติว่า SET ไหลลงไปเรื่อย ๆ สิทธิลดหย่อนก็จะลดลงหากไม่ขายออก เนื่องจากข่าวบอกว่าให้ยื่นเจตจำนงถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2568 จะมีการกำหนดราคาการซื้ออย่างไร ปัจจัยนี้อาจทำให้นักลงทุนเกิดความลังเล ว่าจะโยกเงินช่วงไหนเพื่อให้ได้รับสิทธิลดหย่อนสูงสุด”

อย่างไรก็ตาม หากมาตรการดังกล่าวไม่รัดกุมในข้อกำหนดเงื่อนไข จะทำให้นักลงทุนที่ถือครองกองทุน LTF และย้ายมาเป็น ThaiESGX จะยิ่งตกหลุมพรางและทำให้เม็ดเงินลดลงลึกได้ ซึ่งนักลงทุนต้องระวังและต้องติดตามความชัดเจนที่ออกมาด้วย

หุ้นไทยลงจากหลายปัจจัย

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดลงมองว่ามีหลายปัจจัย ทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งตัวเลขส่งออกไทยอาจจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าว และทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่น รวมถึงในแง่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง แต่สุดท้ายน่าจะเป็นเพราะวิกฤตศรัทธา เช่น หุ้นกู้ที่ไม่สามารถชำระหนี้เมื่อครบกำหนดชำระ (Default), Growth Engine ที่ยังหาไม่เจอ, ความเป็นบรรษัทภิบาลของตลาดหุ้นไทยที่ถูกตั้งคำถาม รวมถึงความเสี่ยงสงครามการค้าที่มีความไม่แน่นอน จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยยังไปไหนไม่ได้

“ในมุมของดัชนี มองว่ายังมีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีก โดยหุ้นไทยหลุดแนวรับ 1,200 จุด ที่เป็นแนวรับทางจิตวิทยา อย่างไรก็ตาม หุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง และสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง มองว่ายังสามารถลงทุนได้ แต่เนื่องจากหุ้นปันผลของไทยไม่ใช่ตัวที่ใหญ่ จึงแบกตลาดไม่ไหว”

ADVERTISMENT

เผย 4 ข้อดันหุ้นขึ้น

ทั้งนี้ มองว่าสิ่งที่จะให้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นได้มี 4 ปัจจัย ได้แก่ 1.การกระตุ้นการลงทุนผ่านนโยบายการเงินและการคลัง ซึ่งนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้ว ดังนั้น นโยบายการคลังควรที่จะเบิกงบประมาณปี 2568 ที่มีอยู่ประมาณ 9 แสนล้านบาท คิดเป็น 5% ต่อจีดีพี รัฐควรเบิกได้อย่างน้อย 80% จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 2.การฟื้นฟูความเชื่อมั่น เช่น การฟื้นกองทุน LTF ซึ่งอาจจะต้องมีความชัดเจน และเกิดประโยชน์กับนักลงทุนมากที่สุด 3.สร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติ เช่น การยกเว้นภาษี Capital Gains Tax สำหรับนิติบุคคลเป็นกรณีชั่วคราว เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นไทย

“ตัวอย่าง ถ้ากองทุนจากสหรัฐ หรือสิงคโปร์เข้ามาลงทุนใน SET แล้วได้กำไร 1,000 ล้านบาท ปกติต้องเสียภาษีนิติบุคคลในไทย (หรือหัก ณ ที่จ่ายตาม DTA) การยกเว้น Capital Gains Tax จะทำให้กองทุนนั้นมีกำไรสุทธิมากขึ้น และอาจตัดสินใจลงทุนในไทยมากกว่าไปลงทุนในตลาดอื่น”

ADVERTISMENT

และนอกเหนือจากหุ้นไทย หากรัฐบาลขยายการยกเว้น Capital Gains Tax ให้ครอบคลุมสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น หุ้นนอกตลาด (Unlisted Shares), ตราสารหนี้ จะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาดทุนไทย นอกจากนี้ ควรสร้างความชัดเจนในนโยบายภาษี โดยบางครั้งนักลงทุนต่างชาติอาจกังวลเกี่ยวกับความซับซ้อนของระบบภาษีในไทย เช่น การตีความ DTA หรือการเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย ดังนั้น การออกนโยบายที่ชัดเจนว่ายกเว้น Capital Gains Tax สำหรับทุกการลงทุนในตลาดทุนไทย จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติ

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ควรเพิ่มปริมาณหุ้น IPO เข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น และ 4.แก้ปัญหาโครงสร้าง เช่น คุมเข้มการออกหุ้นกู้ให้บริษัท ให้ได้มาตรฐานมากขึ้น เนื่องจากมีปัญหาการผิดนัดชำระที่เป็นบริษัทจดทะเบียนด้วย ซึ่งส่วนนี้เป็นวิกฤตศรัทธาที่กระทบมาถึงตลาดทุน รวมถึงการแก้ปัญหาข่าวลือการใช้ Robot Trading ควรมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ชัดเจน จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้