
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองกองทุน LTF เตรียมโยกเข้า Thai ESG หุ้นและตราสารหนี้ของบริษัทไม่ผ่าน ESG โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก (Small Cap) จำนวนมากเสี่ยงถูกเทขาย-พลาดโอกาสรับเม็ดเงินลงทุนเพิ่ม แต่ไม่กระทบภาพรวมของตลาดเงินจากมูลค่าที่ค่อนข้างน้อย ชี้ธุรกิจขนาดเล็กต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ESG เพื่อการระดมทุน
นางสาวนราพร สังสะนา นักวิจัยศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) เปิดเผยว่า จากกรณีที่กระทรวงการคลังเสนอการเปลี่ยนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เป็นกองทุน Thai ESG เข้าประชุม ครม. ในวันที่ 3 มี.ค. 2568 เพื่อช่วยลดแรงกดดันต่อตลาดทุน และกระตุ้นการลงทุนในกองทุน Thai ESG ที่ยังมีมูลค่ากองทุนค่อนข้างน้อยเพียง 3.2 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้มาตรการดังกล่าวยังช่วยให้นักลงทุนสามารถแปลงหน่วยลงทุนเดิมไปยังกองทุนใหม่อัตโนมัติ และช่วยเพิ่มตัวเลือกในการลงทุนนอกเหนือจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ซึ่งเป็นทางเลือกหลักในการลดภาษี สะท้อนจากมูลค่ากองทุน 1.93 ล้านล้านบาท และ 1.39 ล้านล้านบาทตามลำดับ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการจัดการการลงทุนเอง
เมื่อพิจารณาเงื่อนไขกองทุน พบว่ากองทุน LTF ลงทุนในตลาดหุ้นเป็นสำคัญ โดยไม่คำนึงถึงหลักการ ESG เพื่อกระตุ้นตลาดทุนในประเทศเป็นสำคัญ ขณะที่กองทุน ThaiESG ลงทุนในบริษัทที่ปฏิบัติตามหลัก ESG เท่านั้น
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมิน ดังนี้
- หุ้นและตราสารหนี้ของบริษัทที่ไม่ผ่าน ESG โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก (Small Cap) จำนวนมากมีความเสี่ยงที่จะถูกเทขาย และพลาดโอกาสในการรับเม็ดเงินลงทุนเพิ่มเติมจากมาตรการดังกล่าว แต่จะไม่กระทบภาพรวมของตลาดเงินจากมูลค่าที่ค่อนข้างน้อย ในปี 2567 มีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ESG กว่า 695 บริษัท หรือ 75% ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด แต่คิดเป็นมูลค่าเพียง 18% ของมูลค่าหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด
- เงินลงทุนจะไหลเข้าและกระจุกในบริษัทขนาดใหญ่ (Large Cap) ที่ผ่านมาตรฐาน ESG ซึ่งมีเพียง 288 บริษัท หรือ 25% ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด แต่กลุ่มบริษัทดังกล่าวมีมูลค่าหลักทรัพย์รวมกันกว่า 82% ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด หรือ 14.87 ล้านล้านบาท
ดังนั้น ธุรกิจขนาดเล็กต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ESG เพื่อการระดมทุนและการลงทุนที่ยั่งยืนในอนาคต โดยอาจพิจารณาเริ่มต้นปฏิบัติ ดังนี้