
บลจ.กสิกรไทยชู 3 กลยุทธ์มุ่งสู่การเป็น Trusted Asset Manager ตั้งเป้า AUM แตะ 2 ล้านล้านบาท ภายใน 3 ปี พร้อมคาดตลาดหุ้นไทยปี‘68 แตะ 1,350 จุด มองดัชนีบริเวณ 1,200 จุด เป็นโอกาสทยอยสะสม แนะลงทุนหุ้นปันผลสูงช่วงตลาดปรับตัวลง อย่างกลุ่มแบงก์-สื่อสาร-รีท
นายวิน พรหมแพทย์ CFA ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยประเมินสถานการณ์การลงทุนจากทั่วโลกยังคงมีความไม่แน่นอน โดยภาพรวมเศรษฐกิจโลกอิงจากสหรัฐ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงจากนโยบายรัฐบาลของทรัมป์ ส่งผลให้ตลาดกลับมาอยู่ในโหมดเฝ้าระวัง

อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีแนวโน้มดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างระมัดระวังมากขึ้น โดยมองว่ามีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.5% ในช่วงกลางปี และอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี
สำหรับเศรษฐกิจไทยปีนี้ คาดว่าจะเติบโตอยู่ในกรอบ 2.4-2.7% ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ 2.5% ทั้งนี้ การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยน่าจะเข้าใกล้จุดต่ำสุดแล้ว โดยซื้อขายในระดับที่ถูกมากเมื่อเทียบกับในอดีต ด้วย Forward PER 12.93 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ย้อนหลังที่ 15.88 เท่า อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนควรติดตามมาตรการระยะสั้นที่จะเข้ามากระตุ้นตลาดหุ้นไทย ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย มองว่ายังมีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในปีนี้
“ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ไทย โดยคาดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 2.00-2.30%” นายวินกล่าว
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปีนี้การเติบโตน่าจะกลับมาได้ คาดดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,350 จุด หลังการปรับ Earnings Per Share (EPS) ใหม่ โดยในช่วงนี้ให้กรอบดัชนีอยู่ที่ 1,100-1,200 จุด ซึ่งหากกรณีที่เลวร้ายที่สุด (Worst-case) อาจจะย่อลงอยู่ที่บริเวณ 1,050 จุด ขณะที่กองทุน LTF ที่คงค้างอยู่ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท และจะมีการแปลงเป็นกองทุน TESGX มองว่าจะเป็นส่วนที่ช่วยพยุงตลาดหุ้นไม่ให้ลดลงมากกว่าการหนุนตลาด เนื่องจากเม็ดเงินที่ลงทุนเป็นเม็ดเงินเดิม แต่จะชะลอการขายของนักลงทุนได้
อย่างไรก็ตาม ดัชนีปรับตัวลดลงมาตั้งแต่ต้นปีที่ 13% อยู่บริเวณ 1,200 จุด หรือต่ำกว่า มองว่าเป็นโอกาสที่ทยอยสะสมได้ โดยแนะนำหุ้นปันผลสูง เช่น หุ้นกลุ่มธนาคารหลังมีการจ่ายปันผลที่สูง และมีการซื้อหุ้นคืนเพื่อทำให้ ROE ปรับตัวดีขึ้น และกลุ่มสื่อสารที่ให้เงินปันผลสูงเช่นกัน และการควบรวมทำให้การแข่งขันไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา รวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สินทรัพย์ (REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ที่ให้ยีลด์เฉลี่ย 6-8% ต่อปี
“สำหรับการแนะนำการจัดพอร์ต นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยแนะนำถือตราสารหนี้ประมาณ 70% และตราสารทุน 30% ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง และรับความผันผวนสูง แนะนำเพิ่มสัดส่วนตราสารทุนที่มากขึ้นตามความเสี่ยงที่รับได้“
ซึ่งสภาวะตลาดทั่วโลกที่ยังมีความผันผวน ผู้ลงทุนจึงควรให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงขาดทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว อีกทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาดได้ โดยแนะนำให้ผู้ลงทุนแบ่งสัดส่วนการลงทุนออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1 : Core Portfolio เน้นลงทุนเสริมพอร์ตให้เติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยแนะนำกองทุน K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE ในสัดส่วนประมาณ 70-80% ของพอร์ต
ส่วนที่ 2 : Satellite Portfolio เน้นลงทุนเพื่อโอกาสทำกำไรในระยะสั้น โดยแนะนำกองทุน K-GSELECT, K-USA, K-GTECH, K-VIETNAM, K-PROPI ในสัดส่วนประมาณ 20% ของพอร์ต
ส่วนที่ 3 : Liquidity เน้นลงทุนเสริมสภาพคล่อง เพื่อโอกาสทำกำไรที่ได้มากกว่าเงินฝาก ในขณะเดียวกันยังสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายใน 1-2 วันทำการ โดยแนะนำกองทุน K-SF, K-SFPLUS, K-FIXED, K-FIXEDPLUS ในสัดส่วนประมาณ 10% ของพอร์ต
วิน พรหมแพทย์ กล่าวอีกว่า บลจ.กสิกรไทยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ให้แตะระดับ 2 ล้านล้านบาทภายใน 3 ปี (พ.ศ. 2568-2570) โดยผลการดำเนินงานโดดเด่นในปีที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทยยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมกองทุนรวมของไทย ด้วยการครองอันดับ 1 ในด้านมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) และมีสัดส่วนกองทุนที่ได้รับการจัดอันดับ 4 หรือ 5 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์มากที่สุด
สะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการกองทุน และความมุ่งมั่นในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุน อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้าที่สร้างพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) เพิ่มขึ้นจาก 48,000 ราย เป็น 100,000 ราย