เปย์เงิน-เปย์รถ ให้โดยเสน่หา ผู้รับต้องเสียภาษีหรือไม่ ?

การให้โดยเสน่หา ไม่ว่าจะบ้าน รถ หรือที่ดิน สำหรับผู้ให้และผู้รับต้องเสียภาษีเท่าไหร่ และทำอย่างไรได้บ้าง ?

มหากาฬนิทานเรื่องใหม่จากกระแสการ “ติดหนี้” ที่ตอนท้ายเรื่องราวพลิกผันกลายมาเป็นเพียงการซื้อของให้ด้วยความเต็มใจจากการเป็นน้าคนสนิท ไม่ว่าจะเป็นการให้ใช้บัตรเครดิต หรือซื้อรถให้ขับ ดูไม่ต่างอะไรจากการที่เราซื้อของให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง และคนอื่น ๆ แต่ทราบกันหรือไม่ว่า การให้ดังกล่าวที่เรียกว่า “ให้โดยเสน่หา” จะต้องเสียภาษีด้วย

เรียกว่า เป็นภาษีการรับให้ ที่ถูกจัดในกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินโอนเงินหรือทรัพย์สินให้แก่บุคคลอื่นในขณะที่มีชีวิต เป็นภาษีที่จัดเก็บเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีมรดก โดยผู้ที่ต้องเสียภาษีการรับให้ ได้แก่

  • บุคคลธรรมดาที่ได้รับเงินจากการอุปการะหรือจากการให้โดยเสน่หาจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส
  • บุคคลธรรมดาที่ได้รับเงินจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธี หรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี จากบุคคลอื่นซึ่งมิใช่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส
  • บิดามารดาที่เป็นผู้โอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในการครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม

ผู้ให้และผู้รับจะต้องเสียภาษีในรูปแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เฉพาะมูลค่าสินทรัพย์ที่ได้รับในส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทและ 20 ล้านบาท ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

สังหาริมทรัพย์ ทุกประเภทที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ เช่น เงินสด ทองคำ ทรัพย์สินต่าง ๆ ถูกกำหนดให้เสียภาษีในอัตรา 5% ของมูลค่าส่วนเกิน แต่จะต้องพิจารณาด้วยว่า ผู้ให้และผู้รับเป็นใคร

• เงินได้ที่ได้รับยกเว้น ได้แก่

ADVERTISMENT

1. เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะหรือจากการให้โดยเสน่หาจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกิน 20 ล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น

2. เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือจากการให้จากบุคคลซึ่งมิใช่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส โดยเสน่หา เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น

ADVERTISMENT

3. เงินได้ที่ได้รับซึ่งผู้ให้แสดงเจตนาหรือเห็นได้ว่ามีความประสงค์ให้ใช้เพื่อประโยชน์ในกิจการศาสนา กิจการศึกษาหรือกิจการสาธารณประโยชน์ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

อสังหาริมทรัพย์ ทุกประเภท เช่น บ้าน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง ที่ดิน กำหนดให้เสียในอัตรา 5% ของมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ส่วนที่เกินกว่า 20 ล้านบาท โดยบิดามารดาที่เป็นผู้โอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไม่รวมบุตรบุญธรรม จะต้องเป็นผู้เสียภาษีการรับให้นี้

• เงินได้ที่ได้รับยกเว้น หากบิดาหรือมารดาโอนกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทนให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกิน 20 ล้านบาทตลอดปีภาษีจะได้รับการยกเว้น

• การหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในคราวเดียวกัน ที่มีมูลค่าเกินกว่า 20 ล้านบาท ให้มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตรา 5% ของมูลค่าทรัพย์สินส่วนที่เกินกว่า 20 ล้านบาท

การยื่นภาษีรับให้

• ทรัพย์สินที่มีการรับให้ดังกล่าวมาแล้ว จัดเป็นเงินได้อื่น ๆ (ประเภทที่ 8) ดังนั้น ผู้รับมีหน้าที่ต้องเสียภาษี สามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90) ได้ด้วยตนเอง ภายในกำหนดเวลา 31 มีนาคม หรือยื่นแบบออนไลน์ได้ถึง 8 เมษายนของทุกปี

• โดยสามารถเลือกเสียภาษีในอัตรา 5% ของมูลค่าทรัพย์สินส่วนที่เกินตามกฎหมายกำหนด หรือจะเลือกนำไปรวมคำนวณกับเงินได้อื่น ๆ ก็ได้

ทั้งนี้ ยกเว้นการจัดเก็บภาษีการรับให้สำหรับเงินอัดฉีดที่มอบให้นักกีฬา สตาฟโค้ช ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ กล่าวคือ หากผู้รับเป็นนักกีฬา สตาฟโค้ช และเงินที่ได้รับเป็นเงินอัดฉีดเกิน 10 ล้านบาท จะได้รับยกเว้นภาษีให้เป็นกรณีพิเศษ โดยไม่ต้องนำเงินอัดฉีดส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท มาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ข้อมูลจาก กรมสรรพากร และ Inflow Accounting