
คลังเผยมาตรการจัดตั้ง Thai ESGX ทำรัฐสูญเสียรายได้ราว 40,000-50,000 ล้านบาท ยันช่วยรักษาเสถียรภาพตลาดทุนไทยได้ ตลท.มั่นใจลดแรงขาย LTF แน่นอน
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 68 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนพิเศษ (Thai ESG Extra Fund : Thai ESGX) ตามมาตรการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) และเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอโดยร่างกฎกระทรวง
เพื่อรักษาเสถียรภาพและยกระดับการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยคาดว่าจะส่งผลให้รัฐสูญรายได้ทางภาษีประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาโครงการ
สำหรับมาตรการดังกล่าวเปิดโอกาสให้ผู้ถือ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long-Term Equity Fund : LTF) สามารถสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนทั้งหมดไปยังกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนพิเศษ (Thai ESG Extra Fund : Thai ESGX) เพื่อคงสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยต้องดำเนินการภายใน 2 เดือนตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.-30 มิ.ย. 68 โดยจะต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน
“มาตรการดังกล่าวจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไม่เกิน 50,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 75% ของ 1.8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่าราว 1.35 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่สมัครใจไปต่อ หรือโยกมาลงทุนใน Thai ESGX ส่วนกลุ่มที่เหลือจะเป็นกลุ่มที่ขายออกนำเงินไปทำอย่างอื่น” นายพรชัยกล่าว
ด้านนายอัสสเดช คงสิริ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า จากมาตรการนี้ จะทำให้ช่วยชะลอการขาย LTF ได้อย่างแน่นอน ด้านสถานการณ์ตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทย ลงไปประมาณ 14% มูลค่าหายไปเกือบ 200,000 ล้านบาท มีหลายปัจจัยที่กระทบค่อนข้างมาก
ดังนั้นถือเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับสิ่งที่ ตลท.กำลังดำเนินการ คือ โครงการ Jump Plus ที่สนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียน มุ่งเพิ่มมูลค่า ซึ่งจะออกรายละเอียดเร็ว ๆ นี้ ซึ่งความตั้งใจ คือ อยากให้ตลาดหุ้นไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวจัดทำเพื่อส่งเสริมการออมในการลงทุนระยะยาว และส่งเสริมในเรื่องผู้ระดมทุน ขณะเดียวกันมาตรการนี้จะชะลอแรงขาย LTF ได้
“มาตรการดังกล่าวเป็นปัจจัยบวก ที่จะทำให้ผู้ถือหน่วย LTF มีทางเลือก เป็นสิ่งที่ทางเลือก ย่อมดีกว่าไม่มีทางเลือก มาตรการนี้จะส่งผลกับหุ้นทุกตัวในตลาดหรือไม่นั้น การตั้ง ESG เป็นหุ้นที่ต้องผ่านเงื่อนไข ESG ซึ่งปัจจุบันมีหุ้นที่อยู่ในเกณฑ์ 240 กว่าตัว” นางพรอนงค์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มหุ้นที่อยู่ในเกณฑ์ ESG เพิ่มเติม จึงขอแนะนำให้นักลงทุน อย่าเพิ่งขาย LTF หากต้องการใช้สิทธิสับเปลี่ยนไปยัง Thai ESGX เพราะหากขายออกไปแล้วจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากกองทุนใหม่
นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) กล่าวว่า มาตรการนี้ไม่เพียงช่วยหยุดการไหลออกของเงินทุนจาก LTF แต่ยังช่วยดึงเงินลงทุนใหม่เข้าสู่ตลาดทุนไทย เม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาสู่ตลาดจากกองทุน Thai ESGX จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ตลาดหุ้นไทยมีความคึกคักมากขึ้น นักลงทุนที่ถือ LTF ควรตัดสินใจให้เร็ว เพื่อใช้สิทธิทางภาษีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ มาตรการนี้จะมีผลทันทีหลังจากกระทรวงการคลังประกาศใช้ นักลงทุนที่สนใจควรตรวจสอบรายละเอียดและดำเนินการให้ทันตามกรอบเวลาที่กำหนด
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว มีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
1. จัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เป็นหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX
ให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จัดตั้งกองทุนขึ้นมาใหม่ โดยยื่นขออนุมัติจัดตั้งกองทุน Thai ESGX ที่มีนโยบายการลงทุนในทรัพย์สินที่ออกโดยผู้ออกหรือกิจการในประเทศไทยที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) และจะต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืนเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV
ทั้งนี้ บลจ.จะเปิดให้ผู้ลงทุนสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนของ LTF ทั้งหมดที่ถืออยู่ในทุก บลจ. เป็นหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX รวมทั้งเปิดขายให้กับผู้ลงทุนทั่วไป
2. มาตรการภาษีเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดทุนไทยและส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยตามร่างกฎกระทรวง ประกอบด้วย
1. ผู้ลงทุนใหม่ที่ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX
สิทธิประโยชน์ทางภาษี
- เงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX สามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท
- โดยจะต้องซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX ภายในระยะเวลา 2 เดือน ตั้งวันที่ 1 พฤษภาคม-วันที่ 30 มิถุนายน 2568
- เงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับจากการขายหน่วยลงทุนตามข้อมูลด้านบน ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
- ผู้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX ต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน
2. ผู้ลงทุนที่ถือหน่วยลงทุนในกองทุน LTF สับเปลี่ยนเป็นหน่วยลงทุน Thai ESGX
สิทธิประโยชน์ทางภาษี
มูลค่าของหน่วยลงทุนทั้งหมดที่ผู้มีเงินได้ถือในกองทุน LTF และได้สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนดังกล่าวเป็นหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX สามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ไม่เกิน 500,000 บาท แบ่งเป็น
- ปีภาษี 2568 ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท
- ปีภาษี 2569-2572 ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในแต่ละปีภาษี ไม่เกินปีละ 50,000 บาท
- เงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุน ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุน LTF จะต้องแสดงความประสงค์สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนทั้งหมดในกองทุน LTF ทั้งจำนวนเป็นหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่กองทุน Thai ESGX เปิดให้สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนครั้งแรก แต่ไม่เกินวันที่ 30 มิถุนายน 2568 โดยจะต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน
ทั้งนี้ การคำนวณเงินได้ที่ได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ใช้จำนวนหน่วยลงทุน ณ วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ และมูลค่าหน่วยลงทุนให้ถือราคา ณ วันที่แจ้งความประสงค์
สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ในปี 2568 วงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกองทุน Thai ESGX เป็นวงเงินเพิ่มเติมจากวงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปัจจุบันสำหรับกองทุน Thai ESG และในปี 2569 เป็นต้นไป วงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกองทุน Thai ESGX จะรวมอยู่ในวงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเดียวกับวงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปัจจุบันสำหรับกองทุน Thai ESG