
แสนสิริเปิดแผนปี‘68 ตั้งเป้ายอดโอนแตะ 4.6 หมื่นล้านบาท เตรียมเปิดตัว 29 โครงการใหม่กว่า 52,000 ล้านบาท เน้นตลาดพรีเมี่ยม-ทำเลใหม่มีศักยภาพสูง พร้อมเตรียมจ่ายปันผลครึ่งปีหลัง 0.08 บาทต่อหุ้น ชี้ลดดอกเบี้ย-เศรษฐกิจฟื้นตัวช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้
นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บมจ.แสนสิริ (SIRI) กล่าวว่า แสนสิริประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในปี 2567 ท่ามกลางความท้าทายของตลาด ยอดขายทะลุเป้าถึง 50,000 ล้านบาท ยอดโอนกรรมสิทธิ์แข็งแกร่ง (รวมโครงการร่วมทุน) 43,700 ล้านบาท พร้อมความสำเร็จในการปิดการขาย (Sold out) 25 โครงการ มูลค่ารวมสูงถึง 24,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้รวมจำนวน 39,205 ล้านบาท รักษาระดับกำไรสุทธิได้ถึง 5,253 ล้านบาท แม้เผชิญกับสภาวะการแข่งขันที่รุนแรง
ผลตอบแทนที่น่าประทับใจสำหรับผู้ถือหุ้น จากผลกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังที่ 0.08 บาทต่อหุ้น (กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับปันผลในวันที่ 17 มี.ค. และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 20 พ.ค.) หากรวมเงินปันผลครึ่งปีแรกที่จ่ายระหว่างกาลไปแล้วที่ 0.07 บาท รวมทั้งปีจ่าย 0.15 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ที่ 9% ต่อปี ซึ่งแสนสิริเป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาฯชั้นนำที่จ่ายปันผลอัตราสูงต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“ที่ผ่านมาเราแข็งแกร่งมาก ๆ และนับเป็นหุ้นที่มีการปันผลสม่ำเสมอระดับ 6-9% และบางปีการปันผลขึ้นไปมากกว่า 10% สิ่งสำคัญ คือ การทำธุรกิจที่รอบคอบและรัดกุม ซึ่งหัวใจสำคัญของธุรกิจอสังหาฯ คือ เงินทุน และ SIRI ไม่เคยมีปัญหาในเรื่องนี้”
สำหรับปี 2568 แสนสิริตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ 46,000 ล้านบาท และยอดขายที่ 53,000 ล้านบาท โดยได้วางแผนเปิดตัว 29 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 52,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบเดินหน้าเปิดตัว 14 โครงการ มูลค่า 31,600 ล้านบาท โดยเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปี ที่แสนสิริบุกตลาดพรีเมี่ยมและมีเดียมครอบคลุมทุกทำเลมากที่สุด นอกจากนี้ เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมรวม 15 โครงการ มูลค่า 20,400 ล้านบาท ซึ่งจะเร่งขยายพอร์ตคอนโดฯในเมืองและ Strategic Location
“ในปีนี้เราจะเปิดโครงการใหม่มูลค่า 5.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งในปีนี้เราจะโฟกัสในกลุ่มคอนโดมิเนียมที่เป็นระดับกลางถึงบน โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีราคา ตารางเมตรละ 2 แสนบาทขึ้นไป ซึ่งในกลุ่มนี้ไม่มีปัญหาเรื่องการปฏิเสธสินเชื่อ และมักจะซื้อโครงการด้วยเงินสดถึง 70%”
สำหรับแผนการขับเคลื่อนองค์กรปีนี้ได้ ได้แก่ 1.ขยายการพัฒนาที่อยู่อาศัยในกลุ่มสินค้าระดับลักเซอรี่และพรีเมี่ยมในทำเลใหม่ที่มีศักยภาพสูง อาทิ บางนา, บรมราชชนนี, สะพานมหาเจษฎาบดินทร์ ซึ่งมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง 2.เร่งเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ในกรุงเทพฯ เพิ่ม Backlog สนับสนุนการสร้างรายได้ระยะยาว 3.รุกต่อ Strategic Locations ขยายการพัฒนาโครงการไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ภูเก็ต พัทยา และขอนแก่น
4.ขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน ซึ่งปีนี้จะมีโครงการ Joint Venture ใหม่ 7 โครงการ มูลค่า 19,500 ล้านบาท 5.แสนสิริยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าในพันธกิจสีเขียว และทำหน้าที่ในเชิงสังคมอย่างจริงจัง โดยไม่ได้ยึดกับข้อจำกัดว่าต้องเกี่ยวกับธุรกิจ ในฐานะอสังหาฯรายใหญ่ของประเทศ สนับสนุนความเสมอภาค เท่าเทียม และให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
ส่วนแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 และโอกาสทางธุรกิจ มองว่าคอนโดมิเนียมกลับมาเติบโต หลังจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงหลังโควิด ผู้ประกอบการลดการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่ปัจจุบันความต้องการกำลังกลับมาอีกครั้ง ส่งผลให้แสนสิริมีโอกาสเชิงกลยุทธ์ ในการเพิ่ม Backlog และสร้างรายได้ระยะยาว ขณะที่กรุงเทพฯชั้นในยังคงเป็นทำเลที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้ระบบขนส่งมวลชน ซึ่งแสนสิริมีแผนเปิดคอนโดมิเนียมเพิ่มเติมในทำเลยุทธศาสตร์
ด้านจังหวัดท่องเที่ยว ได้แก่ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน และเชียงใหม่ ยังเป็นที่นิยมและกระแสตอบรับจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่เมืองศูนย์กลางภูมิภาคอย่างขอนแก่นและจังหวัดหลักอื่น ๆ มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รองรับความต้องการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น
ส่วนปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อตลาด มองว่าอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะปรับลดลงในปี 2568 จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะช่วยสนับสนุนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคกลุ่มระดับกลางถึงบน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของแสนสิริ และคาดการณ์การกลับมาของนักลงทุนต่างชาติในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย
“ทั้งนี้ ที่ผ่านมาในการลงทุนโครงการต่าง ๆ ใช้วิธีการระดมทุนจากหุ้นกู้ 50%, โปรเจ็กต์ไฟแนนซ์ 25% และการกู้เงินระยะสั้น 25% ส่วนในปีนี้เรามีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดเหลืออยู่ประมาณ 9 พันล้านบาท และคาดว่าจะออกเพิ่มอีกปลายปีประมาณ 7 พันล้านบาท หรืออาจไม่ออกก็ได้ ซึ่งจะพิจารณาตามความเหมาะสม เนื่องจากแสนสิริมีวงเงินจากสถาบันการเงินที่พร้อมรองรับการพัฒนาโครงการไว้เรียบร้อยแล้ว โดยปัจจุบันบริษัทมีสภาพคล่องอยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านบาท”