
นายกสมาคม บลจ. คาดมีเม็ดเงินใหม่เข้า Thai ESG X ได้ประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท-หวังเงิน LTF โยกเข้าได้มากที่สุด มองหุ้นไทยเป็นจังหวะลงทุน เชื่อ 5 ปีข้างหน้าสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ รับกำไร บจ.ดี-ภาพรวมเศรษฐกิจโต
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการการลงทุน (AIMC) กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติจัดตั้งกองทุน Thai ESG X ซึ่งเป็นนโยบายที่มีทั้งเม็ดเงินใหม่ และเม็ดเงินที่อยู่ในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เดิมจะช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นไทยได้
โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ สำหรับเงินใหม่ที่บุคคลธรรมดาลงทุนในกองทุน Thai ESG X เฉพาะปี 2568 จะสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท ซึ่งจะเปิดระยะให้ลงทุนภายใน 2 เดือน (คาดว่าเริ่มเปิดขายหน่วยได้ทุกวันทำการของเดือน พ.ค.-มิ.ย. 68)
และสำหรับผู้ลงทุนที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เดิม ที่ถือทั้งหมดใน LTF ทุกกองทุนในทุก บลจ. มาเป็นหน่วยลงทุนของ Thai ESG X จะได้รับเงินสิทธิลดหย่อนสำหรับ LTF เดิม สูงสุด 500,000 บาท โดยจะแบ่งเป็นปีแรก (2568) สูงสุด 300,000 บาท ส่วนปีที่ 2-5 (2569-2572) สูงสุดปีละ 50,000 บาท
“ดังนั้นนักลงทุนจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการลงทุนใหม่ 600,000 บาท/ราย โดยจะได้ Thai ESG X ที่จะเปิดเพิ่มในปีนี้อีก 300,000 บาท พร้อมกับการย้ายเม็ดเงิน LTF ที่มีอยู่อีก 300,000 บาทในปีนี้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องโอนกองทุนที่มีอยู่ในกองทุน LTF ทั้งหมด โดยแจ้งความประสงค์ต่อ บลจ. ว่าอยากใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี“
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่มีเงินลงทุนมากกว่าจำนวนลดหย่อนภาษี นักลงทุนมีสิทธิที่จะมองได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับนักลงทุนตัดสินใจ หากมองว่ายังมีเงินออมและยังไม่ได้มีความจำเป็นในการใช้เงิน ก็สามารถมาใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ ซึ่งเชื่อว่าการลงทุนในช่วงนี้เป็นจังหวะที่เหมาะสม
“เงินทั้งก้อนของ LTF ที่จะโอนเข้ามาใน Thai ESG X ถ้านักลงทุนมีพอดีกับการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีก็เป็นจังหวะที่ดี แต่หากมีมากกว่าต้องกลับมาพิจารณาว่ามีความต้องการใช้เงินในช่วงนี้หรือไม่ เนื่องจากต้องถือครองไปจนถึง 5 ปี”
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงยังขึ้นอยู่กับทิศทางตลาดทั่วโลก ในฐานะผู้จัดการกองทุนมองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุน และมองว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ เนื่องจากพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนยังดีอยู่ รวมทั้งภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังไปต่อได้ใน 5 ปีข้างหน้า
สำหรับระยะเวลาในการระดมที่มีประมาณ 2 เดือน ตั้งแต่ (พ.ค.-มิ.ย.) โดยประเมินว่าจะมีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่กองทุน Thai ESG X ได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท ขณะที่เม็ดเงินในส่วน LTF ที่คงค้างอยู่ประมาณ 1.6 แสนล้านบาท ยังไม่มั่นใจว่าจะดึงมาได้มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากฐานลูกค้าของแต่ละ บลจ. มีแตกต่างกัน แต่อยากให้เข้ามาได้มากที่สุด
ในส่วนจำนวนกองทุนที่จะเปิดใหม่คาดว่าแต่ละ บลจ. น่าจะเปิดน้อยลงจาก LTF เดิมที่มีอยู่ เนื่องจากมีนโยบายเดียว ซึ่งในช่วงเดือน เม.ย.นี้ เป็นช่วงที่ บลจ.ยื่นจดทะเบียนกองทุนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งคาดว่าจะมีการอนุมัติได้ภายในเดือน เม.ย. 68 และเริ่มเปิดขายให้นักลงทุนได้ ในช่วงต้น พ.ค.-ปลายเดือน มิ.ย. 68
“การมี Thai ESG X เป็นการได้ประโยชน์ทั้ง 2 ส่วน ที่มีทั้งเม็ดเงินใหม่เข้ามาในอุตสาหกรรม ถือเป็นการสร้างสภาพคล่องใหม่ให้กับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และโอนเม็ดเงินจาก LTF เดิม ถือว่าชะลอการขายได้”