
บล.โกลเบล็กประเมินแนวโน้มราคาทองคำ ปีนี้มีโอกาสทะยานถึง 50,000 บาท ชี้ปัจจัยขึ้นกับนโยบายภาษี “ทรัมป์” เป็นหลัก ระบุต้องใช้เวลา ยังไม่ใช่ช่วง 1 เดือนข้างหน้านี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาทองคำวันนี้ (18 มี.ค.) ปรับตัวขึ้น 350 บาทแล้ว ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ครั้งที่ 12 โดยทองคำแท่งขายออกขึ้นมาที่ 48,000 บาท ส่วนทองรูปพรรณขึ้นมาที่ 48,800 บาท จากราคาทอง Spot อยู่ที่ 3,021.50 ดอลลาร์ เงินบาทอยู่ที่ 33.50 บาท/ดอลลาร์
นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำปีนี้ ราคาทองคำแท่งมีโอกาสไปถึง 50,000 บาทได้ โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยการดำเนินนโยบายภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐเป็นหลัก หากยังคงดำเนินนโยบายกีดกันทางภาษีประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
แต่ระยะสั้นช่วงประมาณ 1 เดือนข้างหน้านี้ เชื่อว่ายังไม่น่าจะถึง 50,000 บาท เนื่องจากหากจะไปถึงจุดนั้น ราคาทอง Spot ต้องปรับขึ้นอีกราว 5% หรือขึ้นไปที่ระดับ 3,150-3,200 ดอลลาร์ กล่าวคือ ต้องขึ้นไปจากปัจจุบันอีกเป็น 100 ดอลลาร์ จึงยังเป็นไปค่อนข้างยาก
“ช่วงระยะใกล้ ๆ ประมาณ 1 เดือนข้างหน้า เรามองราคา Spot แถว ๆ 3,050 ดอลลาร์ และ 3,075 ดอลลาร์ก่อน โดยปัจจัยขึ้นอยู่กับทรัมป์เป็นหลัก จากที่ราคาทองขึ้นมา เพราะมีปัจจัยเรื่องอิสราเอลฉีกข้อตกลงหยุดยิง หลังจากนี้ต้นเดือน เม.ย. ทรัมป์จะมีประกาศใหญ่ เกี่ยวกับนโยบายตอบโต้ใครที่ไม่ได้อยู่ฝั่งเขา ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกระทบกับราคาทอง”
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า สำหรับการลงทุนช่วงนี้ ยังสามารถเล่นเก็งกำไรขาขึ้นได้ แต่ไม่แนะนำให้เล่นมาก ควรแบ่งสัดส่วนจากการลงทุนทองคำ เช่น หากลงทุน 100% ให้แบ่งมาเล่นเก็งกำไรแค่ 30% เนื่องจากที่ผ่านมา ต้นปีถึงปัจจุบันทองเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด และปัจจัยขึ้นกับทรัมป์เป็นหลัก ซึ่งก็มีความเสี่ยง หากนโยบายทรัมป์เปลี่ยนแปลงแบบพลิกกลับ ก็อาจจะทำให้ทองลงแรงได้
ส่วนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) วันที่ 18-19 มี.ค.นี้ คาดว่าจะไม่ส่งผลกับราคาทองมาก เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่าจะคงดอกเบี้ย โดยหากจะลดดอกเบี้ยน่าจะไปลดช่วงเดือน พ.ค.