ทรัมป์กลับมา…แล้วดอลลาร์จะแข็งจริงหรือ ?

Trump Ireland
President Donald Trump speaks during an event with Ireland's Prime Minister Micheál Martin in the East Room of the White House in Washington, Wednesday, March 12, 2025. (AP Photo/Alex Brandon)
คอลัมน์ : นั่งคุยกับห้องค้า
ผู้เขียน : ดร.กอบสิทธิ์ ศิลปชัย, กฤติกา บุญสร้าง ธนาคารกสิกรไทย

การกลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ตลาดมีมุมมองบวกต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่พฤศจิกายน 2022 แตะระดับ 110 ในวันที่ 13 มกราคม 2025 ก่อนพิธีสาบานตนของทรัมป์ในวันที่ 20 มกราคม 2025

เนื่องจากความกังวลต่อการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ที่ประกาศไว้ตั้งแต่ตอนหาเสียงว่าจะเก็บภาษีนำเข้าจากจีนถึง 60% และประเทศอื่นทั่วโลกอีก 10-20% ทำให้ตลาดหวนนึกถึงสถานการณ์ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีนในปี 2018 ในช่วงการรับตำแหน่งสมัยแรกของทรัมป์

อย่างไรก็ตาม ในวันเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ทรัมป์ไม่ได้มีการประกาศใช้นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าทันทีอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ แต่ระบุว่าจะต้องมีการศึกษาผลของภาษีนำเข้าก่อน ท่าทีของทรัมป์ที่ไม่แข็งกร้าวเท่าที่เคยเป็นมา ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าทันที 1.3% และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ในฝั่งอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยอ่อนค่าไปแล้ว 5.4% ภายใน 7 สัปดาห์นับตั้งแต่ที่ทรัมป์เข้าพิธีสาบานตน

เหตุใดการกลับมาของทรัมป์ในรอบนี้ถึงไม่ทำให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ?

ปัจจัยสำคัญคือเศรษฐกิจสหรัฐและแนวทางดอกเบี้ยของเฟด ระหว่างทรัมป์ 1.0 และ 2.0 ที่แตกต่างกันอย่างมาก

ในยุคทรัมป์ 1.0 เป็นช่วงเศรษฐกิจสหรัฐขาขึ้น เป็นช่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด หลังเศรษฐกิจซบเซามานานจากวิกฤตซับไพรม์ โดยดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำที่ราว 1.0-2.0% เท่านั้น

ADVERTISMENT

แต่ในยุคทรัมป์ 2.0 เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดแรงงาน ท่ามกลางแรงกดดันจากเฟดที่ขึ้นดอกเบี้ยไปสูงถึง 5.5% ในรอบนี้ เพื่อกดให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่เป้าหมาย และเมื่อทรัมป์มาถึง เฟดได้เริ่มลดดอกเบี้ยแล้ว สวนทางกับเหตุการณ์การขึ้นดอกเบี้ยในช่วงทรัมป์สมัยแรก

ภาษีนำเข้าเป็นอีกประเด็นที่ทำให้ตลาดกังวลกับเศรษฐกิจสหรัฐ เนื่องจากหากมีการขึ้นภาษีนำเข้าในระดับสูงจริง นั่นหมายถึงผู้บริโภคชาวอเมริกันจะต้องซื้อสินค้าในราคาสูงขึ้น

ADVERTISMENT

เนื่องจากสหรัฐไม่สามารถผลิตได้เพียงพอกับความต้องการในประเทศ จึงมีความจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าและบริการสูงถึงราว 14% ต่อจีดีพี และในสภาวะการเงินที่ยังคงตึงตัวจากดอกเบี้ยเฟดปัจจุบันที่สูงถึง 4.5% นี้ เป็นภาระต่อเศรษฐกิจสหรัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น เกมของทรัมป์ 2.0 นี้ คงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป