หุ้นโลกปรับฐาน โอกาสซื้อหรือขาลงยาว ?

คอลัมน์ : สถานีลงทุน
คมศร ประกอบผล ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้

ตลาดหุ้นโลกปรับฐานลงแรงในช่วงเดือนที่ผ่านมา นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐ ที่ลดลงจากจุดสูงสุดมาราว 10% โดยหุ้นกลุ่ม “7 นางฟ้า” ซึ่งเคยเป็นผู้นำในตลาดขาขึ้นรอบก่อน กลับกลายเป็นกลุ่มที่นำตลาดลงในรอบนี้ สาเหตุหลักจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ ที่เริ่มอ่อนแรงลง จนนักวิเคราะห์หลายคนเริ่มมองไปถึงความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมไปถึงประเด็นสงครามการค้าที่ยกระดับขึ้นต่อเนื่องยังเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาด

การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นในรอบนี้ TISCO ESU มองว่า เป็นเพียงการปรับฐานระยะสั้น ไม่ใช่การกลับตัวเป็นขาลงยาว โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้

ประการแรก เศรษฐกิจสหรัฐ ยังไม่ถึงจุดวิกฤต แม้ไตรมาสแรกอาจมีความเสี่ยงที่จะหดตัว จากการเร่งตุนสินค้านำเข้าของประชากรที่สูงมากผิดปกติ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจากสงครามการค้า แต่ระยะถัดไป การนำเข้าจะลดลงตามธรรมชาติ ส่งผลให้ GDP มีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสถัด ๆ ไป

นอกจากนั้น เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจอื่น ยังสะท้อนการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ ที่ยังยืนเหนือระดับ 50 จุดต่อเนื่อง การจ้างงานที่ยังขยายตัวแข็งแกร่งในระดับสองแสนตำแหน่งต่อเดือน และยอดค้าปลีกที่ยังเติบโตต่อเนื่อง

ประการที่สอง สงครามการค้า แม้จะเสียงดังแต่ยังกระทบจำกัด แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีท่าทีแข็งกร้าวและประกาศขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศต่าง ๆ แต่อัตราภาษีที่จัดเก็บ รวมถึงประเภทสินค้าและประเทศเป้าหมาย ยังนับว่าต่ำกว่าช่วงที่เคยหาเสียงไว้พอสมควร (ภาษีนำเข้ากับจีน 60% และกับประเทศอื่น 10%)

ยิ่งไปกว่านั้นการบังคับใช้ภาษีจริงก็ยังมีข้อยกเว้นมากมาย ยกตัวอย่าง กรณีของเม็กซิโกและแคนาดา ที่มีการยกเว้นภาษีนำเข้าให้กับสินค้าภายใต้ข้อตกลง USMCA ซึ่งนับเป็นสัดส่วนใหญ่ของการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ

ADVERTISMENT

ในกรณีเลวร้าย หากสงครามการค้ายกระดับขึ้นและทรัมป์ประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้าทั่วโลก (Universal Tariff) ที่ระดับ 10% เราประเมินว่า ผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ คาดว่าจะอยู่ที่ 4-5%

มองไปข้างหน้า ตลาดหุ้นยังมีปัจจัยบวกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ อาทิ ความพยายามในการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% ในปัจจุบันเหลือ 15% หากทำได้จริง จะส่งผลบวกต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐ ราว 4% คาดว่าจะช่วยชดเชยผลกระทบเชิงลบจากกำแพงภาษีได้เกือบทั้งหมด

ADVERTISMENT

ในภาวะตลาดผันผวนนี้ TISCO ESU แนะนำ ให้ปรับพอร์ตการลงทุนโดยเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์สูงสุดจากนโยบายการลดภาษีนิติบุคคล และมีรายได้หลักจากตลาดในประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกตอบโต้จากสงครามการค้า

โดยกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มสถาบันการเงินในสหรัฐ ที่กำไรภาคธนาคารยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ขยายตัว ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed อีกทั้งยังได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายลดกฎระเบียบในสถาบันการเงิน (Bank Deregulation) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของภาคธนาคาร

นอกจากนี้ เรามองว่า กลุ่มพลังงานในสหรัฐ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับฐานลง จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้น มีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาอย่างแข็งแกร่งในระยะข้างหน้า