หุ้นไทยลุ้นขึ้นต่อ แนวต้าน 1,200 จุด จับตาอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ วันแรก

เทรนด์หุ้นไทย

บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินหุ้นไทยวันนี้ แกว่งตัว มีโอกาสปรับขึ้น ความกังวลสงครามการค้าผ่อนคลายลง แนวรับ 1,175 จุด แนวต้าน 1,200 จุด วันนี้จับตาการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ วันแรก หุ้นแนะนำวันนี้ BBL,TU

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด รายงานว่า คาด SET แกว่งตัวและมีโอกาสปรับขึ้น ความกังวลสงครามการค้าผ่อนคลายลงหลังทรัมป์ระบุจะใช้ความยืดหยุ่นกับมาตรการภาษีตอบโต้ ขณะที่วันนี้ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ วันแรก อย่างไรก็ตาม SET ยังมีจุดชี้วัดสำคัญที่ 1,200 จุด ประเมินแนวรับที่ 1,175 – 1,170 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,195 – 1,200 จุด

ช่วงสั้นมอง SET มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อหลังรับรู้ปัจจัยลบไปมากแล้วจนทําให้ดัชนีปรับตัวลง 15%YTD แย่สุดในตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งนี้มองว่าตัวเลขเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน จะส่งผลดีต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทย ท่าทีของธนาคารกลางทั่วโลกออกไปในทิศทาง Dovish มากขึ้น

ซึ่งคาดจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนี PMI ภาคการผลิตของงสหรัฐฯ ชะลอตัวลง ขณะที่ในประเทศมีปัจจัยต้องติดตามเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24-26 มี.ค. ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม

ปธน. ทรัมป์ส่งสัญญาณใช้ความยืดหยุ่นต่อแผนการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ซึ่งจะบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย. และมีแผนจะพูดคุยกับปธน. สี จิ้นผิง หลังจีนประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้าเกษตรนำเข้าจากสหรัฐฯ

-ECB เรียกร้องให้มีการรวมกลุ่มทางการค้าเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้า ประเมินสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากยุโรปอัตรา 25% จะกระทบเศรษฐกิจยูโรโซน 0.3% และ 0.5% หากยุโรปตอบโต้

ADVERTISMENT

-พาณิชย์เผยมูลค่าส่งออกไทย ก.พ. ขยายตัว 14%YoY ซึ่งขยายตัว 8 เดือนติดต่อกัน ส่วนมูลค่านำเข้าขยายตัว 4%YoY และดุลบัญชีการค้าพลิกเกินดุลที่ 1.99 พันล้านดอลลาร์ และมองส่งออก 1Q68 จะเติบโตเป็นเลขสองหลัก และทั้งปี 2568 คาดทะลุเป้า 3%

-คลังเปิดตัวโครงการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ผ่าน บสย. ช่วยค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะวงเงิน 5 พันลบ. หนุนการปล่อยสินเชื่อและสนับสนุนประชาชนและ SMEs ซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขายกระบะ 6,250 คัน เปิดรับคำขอช่วงวันที่ 1 เม.ย. – 30 ธ.ค. 68

ADVERTISMENT

-KTB-TTB ปฏิเสธข่าวการควบรวม ย้ำไม่มีการดำเนินการใด ๆ และไม่มีอยู่ในแผนงาน 5 ปี เผยต่างเดินตามกลยุทธ์การเติบโตตามที่กำหนดไว้

-Bloomberg เผยผลสำรวจนักวิเคราะห์ชี้ไทยลดดอกเบี้ยมากที่สุดในอาเซียนเพื่อรับมือสงครามการค้าตั้งแต่ 0.75-1.00% ในปี 2569

-ThaiBMA เผยยอดออกหุ้นกู้อสังหาฯ ตั้งแต่ต้นปี 2568 กลุ่ม High Yield ลดลงเหลือ 2.8 พันลบ. จากช่วงเดียวของกันปีก่อนเฉียด 1 หมื่นลบ. ขณะที่กลุ่มInvestment Grade เพิ่มขึ้นใกล้เคียงปีก่อน นักลงทุนระวังคุณภาพเอกชนหลังเศรษฐกิจไม่ฟื้น-ดอกเบี้ยสูง

กลยุทธ์การลงทุน

มอง SET มีแนวโน้มฟื้นตัวหลังรับรู้ปัจจัยลบไปมากแล้ว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนและการส่งสัญญาณยืดหยุ่นต่อแผนเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะส่งผลดีต่อบรรยากาศลงทุน กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้

1.หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ YoY 2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และ 3) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้น SET50 ที่น่าสนใจ ได้แก่ ADVANC BBL BDMS CPALL PTT ส่วนหุ้น SET100 ที่น่าสนใจ ได้แก่ AP BCH BTG

2.หุ้นปันผลคุณภาพดี โดย 1) มีสถิติจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปีขึ้นไป และมี SETESG Ratings ตั้งแต่ระดับ A-AAA 2) คาดบริษัทจ่ายเงินปันผลจากกำไรปี 2567 หลังหักจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว ยังให้ Div. Yield สูงเกิน 4% และ Div. Payout Ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว และ 3) ปี 2568 ผลประกอบการยังแข็งแกร่งและราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside เกิน 15%  แนะนำ AP KTB BBL SPALI KBANK

3.หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน โดยคัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ YoY 2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง (Interest Coverage ratio > 1) 3) Valuation ไม่แพง โดยปัจจุบันซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อยปีละ 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนำ MTC MINT AMATA BJC CPF

หุ้นแนะนำวันนี้

BBL: มองหุ้นมีปัจจัยหนุนเนื่องจากคาดเป็นหนึ่งในเป้าหมายกองทุน ThaiESGX มี SETESG Rating ระดับ AAA และเลือกเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร มี Valuation ถูกที่สุด ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำที่สุด และสินเชื่อมีแนวโน้มเติบโตสูงที่สุด อีกทั้งยังจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 6.50 บาท (XD 23 เม.ย.) คิดเป็น Div. Yield 4.3%

TU: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากการส่งสัญญาณยืดหยุ่นต่อแผนเก็บภาษีนำเข้าของปธน. สหรัฐฯ แม้ 1Q68 คาดกำไรจะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล และ YoY จากค่าใช้จ่าย Transformation และค่าใช้จ่ายการตลาดที่สูง แต่มองโครงการซื้อหุ้นคืนที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. ถึง 30 มิ.ย. (ใช้วงเงินไปแล้ว 56%) จะช่วยจำกัด Downside ราคาหุ้น