PTT ซื้อหุ้นคืนไม่กระทบเครดิต

PTT ซื้อหุ้นคืนไม่กระทบเครดิต

ฟิทช์ เรทติ้งส์ รายงานว่า สถานะทางเครดิตของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT (ซึ่งมีอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ และอันดับเครดิตภายในประเทศ ระยะยาวที่ “AAA(tha)” แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) จะไม่ได้รับผลกระทบจากแผนการซื้อหุ้นคืน

โดยฟิทช์ฯคาดว่า ปตท.จะยังคงรักษาอัตราส่วนหนี้สินให้สอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบัน แม้ว่าการซื้อหุ้นคืนดังกล่าว จะทำให้ความสามารถในการรองรับหนี้สินเพิ่มเติมโดยไม่กระทบต่ออันดับเครดิต ลดลงกว่าที่ฟิทช์ฯเคยคาดไว้เล็กน้อย เนื่องจากฟิทช์ฯมิได้รวมแผนการซื้อหุ้นคืนดังกล่าวไว้ในประมาณการทางการเงินก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ ปตท.จะทำการซื้อหุ้นคืนในวงเงินไม่เกิน 1.6 หมื่นล้านบาท ในระหว่างวันที่ 24 มีนาคม 2568 ถึง 23 กันยายน 2568 โดยจำนวนหุ้นที่ซื้อคืนจะไม่เกิน 470 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 1.65 ของหุ้นทั้งหมด

อัตราส่วนหนี้สินที่แข็งแกร่งของ ปตท.จะทำให้ผลกระทบจากการซื้อหุ้นคืนต่อสถานะทางการเงินมีไม่มากนัก โดยฟิทช์ฯคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินจะเพิ่มขึ้น 0.04 เท่า จากการซื้อหุ้นคืนดังกล่าว ฟิทช์ฯคาดว่าการซื้อหุ้นคืนครั้งนี้จะเกิดขึ้นครั้งเดียว และฟิทช์ฯมิได้รวมการซื้อหุ้นคืนในปีถัด ๆ ไปในประมาณการ

โดยฟิทช์ฯเชื่อว่า ปตท.จะยังคงรักษาวินัยทางการเงิน ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Net Debt to EBITDA) ตามเป้าหมาย ที่ต่ำกว่า 2 เท่า

การตัดสินใจซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่มีความท้าทายจากกำไรที่ปรับตัวลดลง และค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ฟิทช์ฯคาดว่า ปตท.จะสามารถรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) ต่ำกว่า 1.8 เท่า ในช่วงปี 2568-2569 (ปี 2567 อยู่ที่ 1.6 เท่า) ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับที่ฟิทช์ฯอาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิต ที่ 2.5x

ADVERTISMENT

ฟิทช์ฯคาดว่า EBITDA ของ ปตท.จะอ่อนตัวลงในปี 2568 เนื่องจากกำไรจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ลดลง จากการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะปรับลดลง อย่างไรก็ตาม EBITDA ของ ปตท. น่าจะยังคงแข็งแกร่งที่ 3.5-3.6 แสนล้านบาท ในปี 2568 (ปี 2567 อยู่ที่ 3.63 แสนล้านบาท) และสูงกว่า EBITDA ในช่วงปี 2559-2563