
“อัสสเดช” ผู้จัดการตลาดหุ้นไทย เร่งหามาตรการฟื้นวอลุ่มเทรด หลังหดตัวหนัก 2-3 วันมานี้ ชี้ลดลง สอดคล้องตลาดหุ้นภูมิภาค ผลกระทบความผันผวนจากต่างประเทศ เชื่อแค่ภาพระยะสั้น หวัง Thai ESGX-Jump+ ช่วยกระตุ้นวอลุ่ม-ดึงดูดฟันด์โฟลว์ รุกสร้างความเชื่อมั่น “บินโรดโชว์” สิงคโปร์ภายในครึ่งปีแรก พูดคุยทูต 33 ประเทศ หาโอกาสลงทุนใหม่ เชื่อเพิ่มอำนาจ ก.ล.ต. หนุนการดำเนินคดีตลาดทุนรวดเร็วและเด็ดขาดขึ้น
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ต้องยอมรับว่าในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้ มูลค่าการซื้อขายหรือวอลุ่มเทรดหุ้นไทยลดต่ำมาก เฉลี่ยต่อวันไม่ถึง 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่เคยเห็นมานาน ขณะนี้พยายามวิเคราะห์สาเหตุกันอยู่ แต่คาดว่ามาจากผลกระทบจากปัจจัยความผันผวนในต่างประเทศเป็นหลัก ที่กดดันให้นักลงทุนชะลอหรือไม่กล้าตัดสินใจลงทุน ซึ่งสะท้อนจากวอลุ่มเทรดในตลาดหุ้นภูมิภาคก็ปรับตัวลดต่ำลงกันหมด
แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเหตุการณ์นี้น่าจะเป็นแค่ภาพระยะสั้น เพราะปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯก็กำลังเร่งหามาตรการเพื่อจะช่วยเพิ่มวอลุ่มเทรดหุ้นไทยให้กลับมาสูงขึ้นอยู่ และคาดหวังว่ามาตรการโยกเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) มาสู่กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนพิเศษ (Thai ESGX) จะเป็นตัวกระตุ้นในระดับหนึ่ง และในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเปิดตัวโครงการ Jump+ และหากบริษัทจดทะเบียน (บจ.) มีการออกมาสื่อสารถึงการเตรียมแผนการลงทุนหรือการขยายกิจการที่ชัดเจน ก็จะสร้างความน่าสนใจที่มากขึ้นให้กับตัว บจ.เอง และตลาดหุ้นไทย
นายอัสสเดชกล่าวต่อว่า ช่วงนี้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยเรียกว่ายังมีความผันผวนอยู่ค่อนข้างมาก ถ้าดูจากเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ เป็นลักษณะเข้า ๆ ออก ๆ ส่วนนักลงทุนในประเทศเป็นการสลับซื้อบ้างขายบ้างตามจังหวะ จึงอยากแนะนำนักลงทุนให้ศึกษาปัจจัยต่างประเทศให้ลึกซึ้งถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศไทย โดยเฉพาะผลกระทบ “สงครามการค้า” ที่ต้องพิจารณาแบบวันต่อวัน
และจากผลของค่าเงินรูเปียห์ของประเทศอินโดนีเซียที่อ่อนค่าลงอย่างหนัก ตลาดหลักทรัพย์ฯเองก็กำลังมอนิเตอร์อยู่ว่าจะเห็นการเคลื่อนย้ายของเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยบ้างหรือไม่ เพราะตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ถือเป็นแหล่งหลบภัย (Safe Haven) ที่ดี เพราะมีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ของตลาด ลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจเทียบเท่ากับภูมิภาค และ บจ.ต่าง ๆ เริ่มมีการจ่ายเงินปันผลที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับโบรกเกอร์ต่างชาติมีการเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหุ้นไทยอยู่ในจุดที่น่าสนใจ รวมทั้งจากความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ที่น่าจะหนุนให้มีเงินทุนต่างชาติเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทยได้
นายอัสสเดชกล่าวอีกว่า ในส่วนมาตรการเรียกความเชื่อมั่นกับนักลงทุนต่างชาตินั้น ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯกำลังวางแผนออกไปให้ข้อมูลกับนักลงทุนต่างประเทศ (Road Show) เริ่มต้นที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นภายในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ตอนนี้มีหลาย บจ.ให้ความสนใจอยากจะขอไปโรดโชว์ด้วย เพื่อโชว์ข้อมูลและช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย
ขณะเดียวกันเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯได้เชิญเอกอัครราชทูต อุปทูต ทูตพาณิชย์ ทูตการค้าและเจ้าหน้าที่การทูต จากสถานเอกอัครราชทูตในประเทศไทย 33 ประเทศ มารับฟังมุมมองต่างชาติถึงความสนใจในการลงทุน และโอกาสความร่วมมือในการเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างกันในอนาคต ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯได้เก็บข้อมูลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการดึงดูดนักลงทุนเข้ามาสู่ประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่เป็นความกังวลอยู่คือ เรื่องต้นทุนค่าแรง การจัดหาแรงงานคนที่เหมาะสม และค่าพลังงาน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยในการตัดสินใจ เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาว
ส่วนประเด็นที่ประชุม ครม. อนุมัติร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ในการเพิ่มอำนาจสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการทำหน้าที่เป็นพนักงานสืบสวนสอบสวนนั้น เชื่อจะเป็นประโยชน์ต่อตลาดทุนโดยรวม
ซึ่งที่ผ่านมาทุกภาคส่วนเห็นตรงกันในการเพิ่มอำนาจให้กับ ก.ล.ต. เพราะจะเป็นสิ่งที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุนไทยได้ค่อนข้างมาก ที่สำคัญการดำเนินคดีในตลาดทุนจะมีความรวดเร็วขึ้นและเด็ดขาดขึ้น ทำให้คนที่คิดจะกระทำผิดในตลาดทุนก็หวังว่าจะระแวงมากขึ้น และจะนำมาสู่การสร้างความเชื่อมั่นกลับมาได้ เพราะวันนี้ตลาดทุนไทยมีขนาดใหญ่มาก ตลาดหุ้นไทยรวมกับตลาดตราสารหนี้ไทย มีมูลค่าเกือบ 40 ล้านล้านบาท มีนักลงทุนอยู่ทั้งหมด 20 ล้านราย