IMPACT ตั้งเป้าปี’61 รายได้ 2.33 พันล้าน โต 4-5% หลังคว้างานสัปดาห์หนังสือ-อัตราค่าเช่าพุ่ง

IMPACT ตั้งเป้าปี’61 รายได้ 2.33 พันล้าน โต 4-5% หลังคว้างานสัปดาห์หนังสือ-อัตราค่าเช่าพุ่ง ลุ้นข้อสรุป ก.ค.นี้ ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีชมพูเชื่อมต่ออิมแพ็ค

นายพอลล์ กาญจนพาสน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ อิมแพ็ค โกรท (IMPACT) เปิดเผยว่า ในปีนี้ (เม.ย.61-มี.ค.62) บริษัทตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 2,330 ล้านบาท เติบโต 4-5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมาจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ที่มีลูกค้าลงทุนจัดงานคึกคัก ซึ่งเป็นลูกค้าประจำสัดส่วนมากกว่า 80% และเป็นสิ่งที่บริษัทพยายามรักษาให้ลูกค้าขยายการจัดงานต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีนี้อัตราการใช้พื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 52% จากปีก่อนที่ระดับ 50% และอัตราค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 71 บาทต่อตารางเมตรต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 70 บาทต่อตารางเมตรต่อวัน

“การปรับราคายอมรับว่าทำได้ค่อนข้างยาก แต่เฉลี่ย 2-3 ปีก่อนจะมีการปรับขึ้น ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาด รวมถึงหลังจากรถไฟฟ้าสายสีชมพูแล้วเสร็จ งานใหม่ที่เข้ามาอาจมีอัตราค่าเช่าต่อตารางเมตรสูงขึ้นตามไปด้วย” นายพอลล์กล่าว

ด้านรถไฟฟ้าสายสีชมพู ขณะนี้รัฐบาลเตรียมตอกเสาเข็มเดินหน้างานก่อสร้างไปแล้วตั้งแต่เดือน มิ.ย.61 และเริ่มเวนคืนพื้นที่บนถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งอาจจะทำให้ส่งผลกระทบกับการเดินทางลำบากบ้างก่อนจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 65 โดยช่วงเดือน ก.ค.61 นี้จะได้ข้อสรุปว่าจะมีการต่อขยายเชื่อมต่อเข้ามาอิมแพ็คเมืองทองธานีหรือไม่

นายพอลล์กล่าวว่า ทั้งนี้แนวโน้มการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด คือ ปีนี้บริษัทได้รับอานิสงส์หลังจากศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ปิดปรับปรุง ทำให้งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ และงาน Baby Best Buy ตัดสินใจย้ายมาจัดที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ส่วนงานอื่นบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเพิ่มเติม อย่างไรก็ดีปัจจุบันโครงสร้างรายได้ของกองทรัสต์มาจากการจัดงานแสดงสินค้า 82% พื้นที่จัดประชุมและงานเลี้ยง 7.6% ผู้เช่าระยะยาวประเภทร้านอาหาร 7% ค่าที่จอดรถ 2.7% สื่อโฆษณา 0.5%

ปีนี้บริษัทใช้งบลงทุน 20-30 ล้านบาท ซึ่งเป็นสัดส่วนเงินลงทุนในแต่ละปีเพื่อบำรุงรักษาพื้นที่อาคาร แต่เบื้องต้นยังไม่มีการปรับปรุงรีโนเวทพื้นที่ครั้งใหญ่

อย่างไรก็ตามบริษัทมีแผนจะเพิ่มสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ โดยอยู่ระหว่างการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ หลังจากมูลค่าสินทรัพย์ทรงตัวมา 4 ปี ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 19,620 ล้านบาท โดยปัจจุบันสัดส่วนผู้ถือหุ้น IMPACT มีสัดส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศถือหน่วยลงทุนประมาณ 30% สูงกว่าในอดีตที่เริ่มตั้งกองเมื่อปี 2014 จากเดิมอยู่แค่ 19% และนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นมา 4% จากในอดีตอยู่ที่ 0% ซึ่งบริษัทได้เดินทางไปนำเสนอข้อมูลในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีนี้จะเดินทางไปโรดโชว์ที่ฮ่องกง

“ปีก่อนเราได้ไปโรดโชว์ในประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว ซึ่งเริ่มสังเกตเห็นว่าผู้ลงทุนที่สนใจหลักๆ เป็นกลุ่มผู้ลงทุนในเอเชียมากกว่าโซนยุโรป” นายพอลล์กล่าว