LTF แรงขายลด บลจ.เริ่มตั้งกอง TESGX ฟื้นหุ้นไทย

LTF-ThaiESGX

กองทุน LTF แรงขายเริ่มชะลอ “บล.กสิกรไทย” เหลือแค่ 300-400 ล้านบาท/วัน จากต้นปีที่แห่ขาย 1,000-1,500 ล้านบาท/วัน คาดโยกเข้ากองใหม่ Thai ESG X ประมาณ 25-50% “นายกสมาคม บลจ.” คาดมีเม็ดเงินใหม่เข้า 3 หมื่นล้าน ช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย ฟาก “บลจ.ทิสโก้” เล็งตั้งกองใหม่ 1-2 กองทุน มองหุ้นไทยไตรมาส 2 ดีขึ้น

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่มีมาตรการตั้งกองทุนกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (TESGX) สำหรับรองรับเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ทำให้ขณะนี้แรงขาย LTF เริ่มชะลอตัวลง โดยช่วงเดือน มี.ค. 2568-ปัจจุบัน มีมูลค่าขายราว 300-400 ล้านบาท/วัน จากช่วงเดือน ม.ค-ก.พ. 2568 ที่มีแรงขายประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาท/วัน

สรพล วีระเมธีกุล
สรพล วีระเมธีกุล

ทั้งนี้ จากต้นปี 2568 ถึง ณ 24 มี.ค. นักลงทุนขาย LTF ออกไปประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาท ทำให้ยอดคงเหลืออยู่ประมาณ 1.7 แสนล้านบาท โดยประเมินการโยกเม็ดเงินจากกองทุน LTF ไปยังกองทุน Thai ESG X เป็นการชะลอแรงเทขาย

“ต้องติดตามว่าจะมีการโอน LTF มา Thai ESG X มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเราคาดการณ์ว่า จะมีการโอนมา 25-50% หรืออาจจะมีเม็ดเงินอยู่ที่ประมาณ 4-8 หมื่นล้านบาท ถ้าโอนเยอะ ก็จะเป็นผลดีกับตลาดหุ้นไทย ส่วนเม็ดเงินใหม่ คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาท ซึ่งอาจจะมากกว่ากองทุน SSFX ที่ทำช่วงปี 2563 ที่อยู่ที่ประมาณ 9,000-10,000 ล้านบาท เพราะรอบนี้มีการลดการถือครองหน่วยลงทุนจาก 10 ปี เหลือ 5 ปี นักลงทุนอาจมองว่าน่าสนใจมากขึ้นิ

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการการลงทุน (AIMC) กล่าวว่า กองทุน Thai ESG X จะช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นไทยได้ โดยประเมินว่าจะมีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ Thai ESG X ไม่ต่ำกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท อ้างอิงจากข้อมูลของการขายกอง Thai ESG เดิม ขณะที่เม็ดเงินในส่วน LTF ที่คงค้างอยู่ประมาณ 1.6 แสนล้านบาท ยังไม่มั่นใจว่าจะดึงมาได้มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากฐานลูกค้าของแต่ละบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มีแตกต่างกัน

“ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ, สำนักงาน ก.ล.ต. และสมาคม บลจ. จะช่วยกันโปรโมตอย่างเต็มที่ เพื่อจูงใจนักลงทุนกลุ่มที่ยังถือ LTF อยู่ให้เข้ามาใช้สิทธิให้มากที่สุด เนื่องจากจะมีทั้งเม็ดเงินใหม่ ที่สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท และเม็ดเงินที่อยู่ในกองทุน LTF เดิม หากโยกมายัง Thai ESG X จะสามารถลดหย่อนภาษีในปีแรกที่ 300,000 บาท ส่วนปีที่ 2-5 สูงสุดปีละ 50,000 บาท รวมสูงสุด 500,000 บาท”

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ กองทุนที่จะเปิดใหม่คาดว่าแต่ละ บลจ. น่าจะเปิดน้อยลงจาก LTF เดิมที่มีอยู่ เนื่องจากมีนโยบายเดียว ซึ่งในช่วงเดือน เม.ย.นี้ บลจ.จะยื่นจดทะเบียนขอตั้งกองทุนจาก ก.ล.ต. และคาดว่าจะอนุมัติภายในเดือน เม.ย. และเปิดขายให้นักลงทุนได้ตั้งแต่ต้น พ.ค. ไปจนถึง มิ.ย. 2568

“อย่างไรก็ดี มองว่าตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงยังขึ้นอยู่กับทิศทางตลาดทั่วโลก ในฐานะผู้จัดการกองทุนมองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุน และมองว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ เนื่องจากพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังดีอยู่ รวมทั้งมองว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังไปต่อได้ใน 5 ปีข้างหน้า”

ADVERTISMENT

นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ปัจจุบันแรงขายจากกองทุน LTF เริ่มเห็นโมเมนตัมลดลง ซึ่งการมีกองทุน TESGX น่าจะช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นไทยได้ โดยเฉพาะที่เป็นเม็ดเงินใหม่ เพราะนักลงทุนที่มีฐานภาษีสูงอาจจะสนใจนำเงินมาลงทุนระยะยาว 5 ปี และได้ลดหย่อนภาษีในอัตราที่จูงใจ แต่ผู้ที่ถือ LTF คงย้ายมาที่กองทุน TESGX ไม่ทั้งหมด เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนมีเม็ดเงินลงทุนมากกว่ามูลค่าที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งอาจจะมองว่าไม่คุ้ม

“มาตรการอาจจะเห็นผล แต่คงไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นไทยวิ่งขึ้นได้สูงมากมาย แต่อย่างน้อยก็เป็นตัวช่วยสนับสนุนตลาดได้บ้าง นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอื่น ๆ ที่จะเข้ามาช่วยหนุน”

นายสาห์รัชกล่าวว่า บลจ.ทิสโก้ ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2 จะกลับมาดีขึ้นมากกว่าไตรมาส 1 ที่ผ่านมา เนื่องจากในช่วงไตรมาสแรกแรงขายของกองทุน LTF มีค่อนข้างสูงโดยเฉพาะช่วงต้นปี ซึ่งเมื่อมีมาตรการตั้งกองทุน TESGX เข้ามาอาจจะช่วยผ่อนคลายลงบ้าง

“ตอนนี้ TESGX ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก ต้องรอช่วงกลางเดือน เม.ย. จะเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้น โดยปัจจุบันแต่ละ บลจ.กำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมแปลงกองทุน LTF เดิม เพื่อเป็นกอง TESGX โดย บลจ.ทิสโก้ คาดว่าน่าจะออกไม่เยอะมาก ประมาณ 1-2 กองทุน”