อินโนเวสท์ เอกซ์ หั่นเป้า SET เหลือ 1,350 จุด จับตาภาษีทรัมป์ ฉุดเศรษฐกิจไทย

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ แนะจับตานโยบายภาษีทรัมป์ ฉุดเศรษฐกิจไทย เหลือ 2.0% ชี้แผ่นดินไหวกระทบสั้น พร้อมหั่นเป้า SET ปี’68 เหลือ 1,350 จุด จากเดิม 1,550 จุด แต่ยังมองไตรมาส 2 มีโอกาสฟื้นตัวจาก valuation ที่ถูก แนวรับ 1,100-1,130 จุด แนะ 5 หุ้นเด่นน่าลงทุน

นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ไตรมาส 2/2568 เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ เศรษฐกิจสหรัฐ มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะมาตรการภาษีนำเข้าที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและตลาดแรงงาน สร้างแรงกดดันต่อหุ้นโลก รวมถึงสหรัฐ ขณะที่จีนกำลังแสดงสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นผ่านมาตรการกระตุ้นเชิงรุก โดยรัฐบาลจีนตั้งเป้าหมาย GDP ที่ 5% พร้อมทั้งออกพันธบัตรพิเศษระยะยาวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านสหภาพยุโรป มีแนวโน้มฟื้นตัวหลังจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์เริ่มลดลง

“อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญแรงกดดันจากภายนอก ทั้งจากความตึงตัวของภาวะทางการเงิน รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีของสหรัฐ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาจนอยู่ในระดับที่น่าสนใจและคาดมีโอกาสฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 2/2568”

ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ด้านมุมมองเศรษฐกิจมหภาคมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ Mild stagflation ที่การเติบโตชะลอตัว ในขณะที่เงินเฟ้อยังสูงกว่าเป้าหมาย ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เผชิญความท้าทายในการกำหนดนโยบายการเงิน โดยคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวที่ 0.25% ในปี 2568

ขณะที่ IMF มีแนวโน้มจะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกในเร็ว ๆ นี้ เห็นได้จาก PMI โลกชะลอตัวลงต่ำสุดในรอบ 1 ปี พื้นฐานเศรษฐกิจของสหรัฐ ยังคงแข็งแกร่ง บ่งชี้ว่ามีโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยต่ำ ด้านจีน แม้มีความเสี่ยงด้านหนี้สินและอสังหาริมทรัพย์ แต่ภาครัฐยังคงเดินหน้าใช้นโยบายกระตุ้นผ่านโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น AI และยานยนต์ไฟฟ้า

“ความเสี่ยงสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะ Reciprocal Tariff ซึ่งหากบังคับใช้อาจจะทำให้ GDP ของไทยปี 2568 ลดลงจาก 2.5% เหลือเพียง 2.0% หรือต่ำกว่า”

ADVERTISMENT

ด้านผลกระทบจากแผ่นดินไหวเมื่อ 28 มีนาคม InnovestX ประเมินว่าเกิดขึ้นจำกัดในระยะสั้น โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวที่อาจสูญเสียรายได้ราว 10-15% ภายใน 2 สัปดาห์ และอาจกระทบต่อช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยใช้เวลาประมาณ 1 เดือนจึงฟื้นตัว คาดว่า GDP ปี 2568 ยังขยายตัวได้ที่ 2.5% เนื่องจากไม่มีความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ โดยมองว่านโยบาย Reciprocal Tariffs ของสหรัฐ เป็นความเสี่ยงหลักต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ มากกว่าภัยธรรมชาติ

ด้าน นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและความไม่แน่นอนด้านภาษีการค้า แต่ Valuation ที่ปรับตัวลงต่ำกว่าระดับก่อนเกิด COVID-19 ทำให้เริ่มกลับมาน่าสนใจในแง่มูลค่า โดยคาดว่า SET Index มีโอกาสฟื้นขึ้นที่ระดับ 1,300-1,350 จุด ในช่วงไตรมาส 2/2568 และระดับดัชนี SET Index ที่ 1,100-1,130 จุด มองว่าเป็นโอกาสในการลงทุนเก็งกำไรระยะสั้น

ADVERTISMENT

“มองว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะแรงกดดันจากแรงกดดันนโบายการค้าของสหรัฐ และปรับลดเป้าหมาย SET Index ลงเหลือ 1,350 จุด จากเดิม 1,550 จุด เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่เผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก”

โดย InnovestX แนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพสูง มีรายได้หลักจากในประเทศ และได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

 หุ้นเด่นที่แนะนำในไตรมาสนี้ ได้แก่

  • BCH กลุ่มโรงพยาบาลเชิงรับ พร้อมรายได้จากในประเทศ
  • CPALL, CPF หุ้นบริโภคในประเทศที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัว
  • KTB, TRUE กลุ่มธนาคารและเทคโนโลยีที่มีความแข็งแกร่งสำหรับต่างประเทศ

พร้อมแนะนำลงทุนในตลาดจีน Emerging Markets ที่ได้รับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐ โดยเน้นไปที่บริษัทที่มีเงินปันผลสูง มีสัดส่วนรายได้ภายในประเทศสูงและมีลักษณะเชิงรับ ได้แก่ Verizon, UnitedHealth, Iberdrola, Hong Kong Exchange, Trip.com, Tencent, Alibaba

ขณะที่ ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงาน Wealth Products & Strategy บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวทิ้งท้ายว่า ไตรมาส 2/2568 ตลาดการลงทุนยังเผชิญความผันผวนสูงจากมาตรการภาษี Reciprocal Tariffs ของสหรัฐ ที่อาจกระทบเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลก แม้ภาคเทคโนโลยียังมีแนวโน้มแข็งแกร่ง แต่ตลาดหุ้นสหรัฐ อาจถูกกดดันจากความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่เพิ่มสูงขึ้นจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรง

ทำให้ InnovestX แนะนำปรับลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากมีความน่าสนใจลดลง และมีความเห็นเป็นกลางกับหุ้นไทยแต่เริ่มมอง downside จำกัดและมีโอกาสฟื้นตัวได้ระยะสั้น ขณะเดียวกันมีมุมมองด้านบวกสำหรับตลาดจีน โดยเฉพาะหุ้น A-Shares เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐและการหันกลับมาสนับสนุนภาคเอกชน และสำหรับตลาดเวียดนามจากประเด็นโอกาสการยกระดับตลาดหุ้นขึ้นสู่ Emerging market

พร้อมแนะนำกระจายพอร์ตสู่สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ตราสารหนี้ ซึ่งมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่มั่นคงในภาวะความผันผวนสูง ทั้งนี้ หุ้นเชิงรับ (Defensive Stocks) อย่าง Healthcare และ Utility คาดว่าจะยังคงให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นเติบโต (Growth Stocks) โดยนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงสามารถพิจารณากองทุนตราสารหนี้ เช่น UGIS-N ควบคู่กับกองทุนหุ้นต่างประเทศ

อย่างหุ้นจีน A-Sharesกองทุน KFCSI300-A และหุ้นเวียดนาม กองทุน PRINCIPAL VNEQ-Aรวมถึงกองทุนหุ้นเชิงรับอย่าง LHHEALTH-A ซึ่งเน้นกลุ่ม Healthcare เพื่อสร้างสมดุลพอร์ตในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน